สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ (ครั้งที่ 2-3)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ (ครั้งที่ 2-3)
อาจารย์วิวัฒน์ ว่องวิวัฒน์ไวทยะ
วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2568
**********
1. กู้ยืมเงิน มีมาตราที่เกี่ยวข้อง คือ ม.650-656 มี 6 หัวข้อ ซึ่งหัวข้อที่ 2 กำหนดเวลาชำระหนี้เงินกู้ยืม อาจารย์พูดไปแล้ว จะไม่พูดซ้ำ เนื่องจากเวลามีจำกัด การบรรยายวันนี้เป็นพื้นฐานสำคัญ จะให้จบม.656 ครั้งหน้าจะขึ้นเรื่องค้ำประกัน และจะไปเร็วขึ้น
2. หัวข้อที่ 1 บริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบเงินกู้ยืม ม.650 วรรคสอง "สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม"
-ม.650 เป็นต้นทางของวิชานี้
2.1) สัญญากู้ยืมเงิน ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบเงินที่กู้ยืม สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง ม.650 วรรคสอง จึงใช้บังคับกับสัญญากู้ยืมเงินด้วย ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบเงินที่กู้ยืม
-ตราบใดที่ยังไม่ส่งมอบเงินที่กู้ยืม ตราบนั้นก็ยังไม่บริบูรณ์ คือ ยังไม่เกิดผลผูกพัน ยังไม่เกิดสิทธิและหน้าที่ตามสัญญากู้ยืมเงิน (แต่ไม่เป็นโมฆะ) ถ้ามีการค้ำประกันด้วย ก็ทำให้ค้ำประกันไม่สมบูรณ์ หรือถ้ามีการจำนอง จำนองก็ไม่สมบูรณ์ตามไปด้วย
-จะใช้คำว่าบริบูรณ์ หรือ สมบูรณ์ ดูม.681 วรรคหนึ่ง อันค้ำประกัน จะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ จะใช้คำไหนก็ความหมายเหมือนกัน คำพิพากษาศาลฎีกาก็มีใช้ทั้งสองคำ แต่ควรใช้ "บริบูรณ์" เมื่อพูดถึงเรื่องกู้ยืม และใช้ "สมบูรณ์" เมื่อพูดถึงค้ำประกัน
2.2) การไม่ส่งมอบเงินกู้ยืม เป็นคนละเรื่องกับการมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามม.653 หมายความว่า ถ้ามีการส่งมอบเงินที่กู้ยืม สัญญากู้ยืมก็บริบูรณ์ ก็มีค้ำประกันได้ มีจำนอง จำนำได้ ส่วนจะฟ้องร้องกันได้หรือไม่ค่อยไปดูเรื่องหลักฐานการกู้ยืม ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน *****ทำความเข้าใจจุดนี้ให้ดี เคยออกข้อสอบมาแล้วหลายสมัย
-ถ้ามีข้อสอบ ให้ดูก่อนว่ามีการส่งมอบเงินกู้ยืมหรือยัง ถ้าส่งมอบเงินที่กู้ยืมแล้ว หนี้กู้ยืมสมบูรณ์ตามม.650 วรรคสอง ค้ำประกันได้ จำนองได้ จำนำได้ แม้จะไม่มีหลักฐานการกู้ยืมก็ไม่เกี่ยว (หนี้สมบูรณ์ แต่อาจฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้) , แต่ถ้าไม่มีการส่งมอบเงินกู้ยืม ก็ไม่มีผลผูกพันเลย ไม่ว่าจะค้ำประกัน จำนอง จำนำก็ไม่สมบูรณ์สักอย่าง ไม่มีความผูกพันใด ๆ จะมาอ้างได้เลย
-ฎ.9537/2557 เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับเงินตามหนังสือสัญญากู้เงิน หนังสือสัญญากู้เงินทั้งสองฉบับจึงไม่ชอบด้วยม.650 วรรคสอง (ไม่บริบูรณ์)
-ฎ.1340/2565 สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญาที่ไม่บริบูรณ์ เพราะยังไม่ได้ส่งมอบเงินที่กู้ยืม และเมื่อสัญญากู้ยืมเงินเป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ มีผลให้สัญญาจำนำหุ้นซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ของสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว เป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ด้วย
-คำถาม ส่งมอบเงินที่กู้ยืมหลังจากทำสัญญาได้หรือไม่? ฎ.10419/2557 แม้ขณะที่โจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังไม่บริบูรณ์ เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้ส่งมอบเงินที่กู้ยืมให้แก่จำเลยที่ 1 ตามม.650 วรรคสอง ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมรับว่า ภายหลังต่อมาโจทก์ก็ได้ส่งมอบเงินที่กู้ยืมตามสัญญากู้ยืมเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ครบแล้ว หนี้ตามสัญญากู้เงินจึงเป็นหนี้ที่สมบูรณ์ที่อาจทำสัญญาค้ำประกันได้แล้วตามม.650 วรรคสอง , ฎ.1579/2552 แม้การจดทะเบียนจำนองและจดทะเบียนขึ้นเงินจำนองเป็นประกันหนี้ จะทำขึ้นก่อนเวลาที่โจทก์จะส่งมอบเงินกู้ทั้งสองจำนวนแก่จำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อต่อมาโจทก์มอบเงินกู้ทั้งสองจำนวนแก่จำเลยที่ 1 หลังจากทำสัญญาจำนองกันดังกล่าว หนี้เงินกู้ในส่วนนั้นก็สมบูรณ์ การจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ดังกล่าวล่วงหน้าจึงบังคับแก่กันได้
-คำถาม ผู้กู้ยินยอมลงลายมือชื่อในสัญญากู้ที่ระบุตัวเลขสูงเกินกว่ามูลหนี้เงินกู้จริงหรือที่ส่งมอบ ผลจะเป็นอย่างไร? ผลคือ สมบูรณ์ตามมูลหนี้จริงหรือเท่าที่ส่งมอบ ฎ.7229/2552 สัญญากู้ระบุ 5 แสนบาท ผู้กู้ยอมลงลายมือชื่อไว้ แต่มีมูลหนี้เดิมเพียง 1.9 แสนบาท สมบูรณ์ 1.9 แสนบาท , ฎ.8076/2556 สัญญากู้ระบุ 7 แสน ผู้กู้ยอมลงลายมือชื่อไว้ แต่มีการมอบเงินเพียง 4.3 แสน สัญญากู้ก็สมบูรณ์เพียง 4.3 แสน บังคับกันได้ 4.3 แสน (กรณีนี้ถ้ามีค้ำประกัน จำนอง จำนำ ถ้าระบุไว้เกิน 4.3 แสน ก็บังคับได้เพียง 4.3 แสน "เท่าที่มีเฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์")
2.3) แม้ไม่มีการส่งมอบเงินกันจริง ๆ แต่ก็ถือว่าส่งมอบเงินกู้ยืมแล้ว
-ฎ.7275/2546 เดิม น. และจำเลยได้กู้ยืมเงิน ส. น้องโจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์นำเงินกู้ยืมตามฟ้องไปชดใช้หนี้แก่ ส. โดยจำเลยยอมกู้ยืมเงินจากโจทก์และจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ แม้ในวันที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาจำนองที่ดิน โจทก์จะไม่ได้ส่งมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลย แต่เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ที่จำเลยมีต่อ ส. แทนจำเลยไป และจำเลยยอมทำสัญญาจำนองที่ดินแทน ถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลยแล้ว การกู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยย่อมบริบูรณ์ใช้บังคับระหว่างกันได้
-ฎ.4684/2536 โจทก์เอาเงินฝากค้ำประกันการกู้เงินจำเลยที่ 1 ต่อธนาคาร โดยให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงิน 8 หมื่น เพื่อเป็นประกัน ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินตามหนังสือสัญญากู้นับแต่ธนาคารได้หักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้ของจำเลยที่ 1
-ฎ.4252/2528 จำเลยทำสัญญากู้ยืมไว้แก่โจทก์แทนการวางมัดจำ เป็นเงินสดตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สัญญากู้ยืมดังกล่าวจึงมีมูลหนี้มาจากการที่จำเลยมีหนี้ที่จะต้องวางมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เมื่อจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวซึ่งโจทก์มีสิทธิริบเงินมัดจำ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับตามสัญญากู้ยืมได้เพราะมีมูลหนี้ต่อกัน และกรณีเช่นนีถือได้ว่าได้มีการส่งมอบเงินให้ผู้กู้แล้ว
-ฎ.3209/2550 หนี้เดิมเป็นการตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกัน ฝ่ายจำเลยไม่มีเงินพอจะจ่ายในส่วนของเนื้อที่ดินที่เกิน จึงตกลงทำสัญญากู้ยืมเงินขึ้นเพื่อชำระหนี้ค่าที่ดินส่วนที่เกิน ถือว่าเป็นการแปลงสาระสำคัญแห่งหนี้ เป็นการแปลงหนี้ใหม่จากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินมาเป็นสัญญากู้ยืมเงิน (แปลงหนี้ค่าซื้อขายเป็นสัญญากู้ยืม) (เทียบฎ.3103/2564)
-ฎ.10227/2551 โจทก์และจำเลยตกลงกันให้นำหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระที่ชอบด้วยกฎหมายมาเป็นต้นเงินทำสัญญากันใหม่ ย่อมถือว่าโจทก์ได้ส่งมอบเงินที่กู้ยืมตามสัญญาให้จำเลยโดยชอบแล้ว (ฎ.1003/2566)
3. หัวข้อที่ 3 หลักฐานแห่งการกู้ยืม ม.653 วรรคหนึ่ง "การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่" *เรียนวิชานี้ ต้องท่องมาตรานี้ให้ได้ เป็นหลักการสำคัญของเรื่องกู้ยืมเงิน
3.1) การจะนำม.653 มาใช้ ต้องเป็นเรื่องกู้ยืม ถ้าเป็นเรื่องอื่น อย่านำม.653 มาใช้ เรื่องต่อไปนี้ไม่ใช่กู้ยืมเงิน เช่น ยืมเงินทดรองจ่ายในหน่วยงาน (ฎ.1211/2529) , สัญญาเล่นแชร์ (ฎ.2013/2537 , 1361/2552) , สัญญาบัตรเครดิต (ฎ.7354/2546 (ป) , 1417/2550) ,
-ต้องระวัง ถ้าแปลงหนี้มาเป็นหนี้กู้ยืม (ฎ.2542/2521 , 4252/2528 , 4411/2555)
3.2) องค์ประกอบ ม.653 วรรคหนึ่ง องค์ประกอบแรก กว่า 2,000 บาท ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมลงลายมือชื่อผู้ยืม จะฟ้องมูลหนี้เงินกู้ไม่ได้
--กู้ยืม 2,000 บาท พอดี กู้ด้วยวาจา ไม่ต้องมีหลักฐานฯ ก็ฟ้องได้
--ฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ หมายถึง เฉพาะกรณีฟ้องเรียกมูลหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ยืมไม่ได้ แต่ถ้าอ้างมูลหนี้อื่นก็ฟ้องได้
--ฎ.1150/2538 โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งมีมูลหนี้จากที่จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์ หาใช่ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้กู้ยืมเงินโดยตรงไม่ จึงไม่จำต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญมาเป็นพยานต่อศาล (ฎ.2465/2559 , 8848/2559 , 5076/2560)
--ไม่มีหลักฐานฯ ยกขึ้นต่อสู้คดีได้หรือไม่? ***เป็นประเด็นน่าสนใจ ฎ.1263/2567 ตามม.653 วรรคหนึ่ง รวมถึงการห้ามมิให้ยกขึ้นต่อสู้คดีด้วย เมื่อหนี้ที่โจทก์อ้างเป็นมูลหนี้ฟ้องร้องและยึดถือโฉนดไว้ เป็นหนี้เงินกู้ที่ฟ้องร้องบังคับไม่ได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินของจำเลยไว้ต่อไป
--***ออกข้อสอบอยู่เนือง ๆ (เทียบข้อสอบเนติ 47,49) ฎ.1604/2536 ดำกู้เงิน 5 แสน เจ้าหนี้ส่งเงินกู้ แต่ไม่ได้ทำหลักฐานการกู้ โดยมีขาวมาทำสัญญาค้ำประกัน และเขียวทำสัญญาจดทะเบียนจำนองเป็นประกัน 5 แสน กรณีนี้เจ้าหนี้จะฟ้องใครได้บ้าง? กรณีดำ ได้รับเงินไปแล้ว หนี้สมบูรณ์ตามม.650 วรรคสอง จึงมีค้ำประกัน จำนองได้ แต่เมื่อไม่ได้ทำหลักฐานการกู้ฯ จึงฟ้องดำไม่ได้ตามม.653 วรรคหนึ่ง , กรณีขาว หนี้เงินกู้สมบูรณ์ มีค้ำประกันเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ได้ จึงฟ้องขาวได้ แต่ขาวรอดตามม.694* (ผู้ค้ำฯ สามารถยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ จะเรียนกันในครั้งหน้า) , กรณีเขียว หนี้เงินกู้สมบูรณ์ มีจำนองได้ (ม.707 ให้นำม.681 ว่าด้วยค้ำประกัน มาใช้อนุโลม จึงหมายความว่า อันจำนองนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์) เขียวจะยกข้อต่อสู้เหมือนขาวตามม.694 ไม่ได้ เพราะม.694 ไม่นำไปใช้กับเรื่องจำนอง ดังนั้น เจ้าหนี้จึงฟ้องเขียวให้รับผิดได้ ***ถ้านักศึกษาเข้าใจตัวอย่างนี้ จะทำให้เข้าใจวิชานี้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง โอกาสตอบข้อสอบได้ 5 คะแนนแล้ว
--ฎ.1604/2536 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 แม้การกู้ยืมเงินขาดหลักฐานตามกฎหมาย ก็เพียงต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีเอากับจำเลยที่ 1 เท่านั้น เมื่อหนี้การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีอยู่จริงและสมบูรณ์ตามกฎหมาย ย่อมมีการจำนองเป็นประกันได้ตามม.707 , 681 เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ โจทก์ย่อมบังคับเอากับผู้จำนองได้
-มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
-ผู้กู้ต้องลงลายมือชื่อ
-หลักฐาน ขอให้มีก่อนฟ้อง
-กรณีตัวเลขในสัญญากู้เงินสูงเกินกว่ามูลหนี้เงินกู้ที่ได้รับไปหรือกรณีแก้ไขตัวเลขเงินกู้ในสัญญา
3.3) องค์ประกอบ ม.653 วรรคหนึ่ง องค์ประกอบที่สอง มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
-หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ หมายถึง เอกสารที่มีข้อความพอจะถือได้ว่ามีการกู้ยืมและมีผู้กู้ลงลายมือชื่อฝ่ายเดียว เช่น "จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ 5,000 บาท" หรือ "จำเลยรับเงินหรือเป็นหนี้โจทก์ 5,000 บาท และจะคืนให้" หรือ "จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 5,000 บาท และยังไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์"
-ถ้าคู่สัญญาลงลายมือชื่อครบทั้งสองฝ่ายและมีข้อความในการตกลงกู้ยืมครบถ้วน เรียกว่า หนังสือสัญญากู้ยืม
-ม.653 กำหนดว่า ถ้าไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมจะฟ้องไม่ได้ ทำให้ขณะฟ้องจึงต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมไว้อยู่แล้ว จึงจะมีอำนาจฟ้อง
-ฎ.8752/2538 หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามม.653 วรรคหนึ่ง มิได้เคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมอยู่ในหนังสือนั้น เมื่อหนังสือมีข้อความระบุว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ จำนวน 188,259 บาท และยังไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ กับมีลายมือชื่อจำเลยลงไว้ และมีตัวโจทก์มาสืบประกอบอธิบายว่าหนี้เงินจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปซื้อกระดาษทำกล่องใส่เค้กมาขายให้โจทก์เพื่อหักหนี้กัน จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมฟ้องร้องได้
-ฎ.1504/2531 ศาลฟังว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ เมื่อเอกสารมีข้อความว่าจำเลยจะนำเงิน 50,000 บาท มาใช้ให้แก่โจทก์ภายใน พ.ค.2526 แสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามจำนววนที่ระบุไว้ ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้
-ฎ.2725/2526 , 11865/2555 , 4537/2553 แม้ระบุเพียงว่า "จำเลยกู้เงิน 5,000 บาท คืนวันที่ 1 ธ.ค.2560" แต่ได้ความว่าทำมอบให้โจทก์ก็มีความหมายในตัวว่ากู้ยืมเงินโจทก์ ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้
-ฎ.4306/2565 หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามม.653 วรรคหนึ่ง นั้น ต้องมีข้อความให้รับฟังได้ว่าผู้ยืมได้กู้ยืมเงินไปจากผู้ให้กู้ยืม หรือมีข้อความว่าจะใช้คืนให้ อันเป็นสาระสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ยืมได้กู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้ยืมหรือเป็นหนี้ผู้ให้กู้ยืม หากไม่มีข้อความดังกล่าวแล้ว ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้ เพราะการที่บุคคลหนึ่งมอบหรือโอนเงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดจากการกู้ยืมกันเสมอไป อาจเป็นเรื่องการมอบหรือโอนเงินให้แก่กันด้วยมูลเหตุอย่างอื่นก็ได้
-ฎ.745/2565 ข้อความตามที่ระบุในสำเนาใบหุ้นกู้ มีสาระสำคัญว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์ 2,000,000 บาท และจะชำระคืนภายในวันที่ 25 เม.ย.2558 อันถือได้ว่ามีข้อความครบถ้วนเพียงพอให้รับฟังได้ว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามม.653 วรรคหนึ่ง
-ลำพังหลักฐานการรับเงิน หรือระบุว่า "รับเงิน 5,000 บาท" ไม่ใช่หลักฐานการกู้ (ฎ.1468/2511 , 14712/2551 , 13511/2556 , 15799/2557)
-หลักฐานแห่งการกู้ยืมไม่ระบุวันเดือนปี หรือไม่ระบุอัตราดอกเบี้ย ได้หรือไม่? ฎ.1883/2551 ม.653 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บังคับว่าต้องระบุวันเดือนปีที่ทำสัญญาหรือวันเดือนปีที่ครบกำหนดชำระเงินและอัตราดอกเบี้ยไว้ (ม.203 หนี้ไม่มีกำหนดเวลา เจ้าหนี้เรียกให้ชำระได้โดยพลัน) , แต่ถ้าไม่ระบุจำนวนเงินอาจใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมไม่ได้ ฎ.2553/2525 ข้อความตามเอกสารในการขอผัดผ่อนการชำระหนี้ แต่จะเป็นหนี้เกี่ยวกับอะไร จำนวนเท่าใดไม่ปรากฏ และไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าจำเลยได้กู้เงินโ๗ทก์ตามฟ้อง จึงไม่ใช่หนังสืออันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม (ข้อสอบเนติ 47) (ฎ.823/2510)
-คู่สัญญากู้เงินจะตกลงระบุให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้หรือไม่? ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถ้าตกลงกันเช่นนี้ สัญญาจำนองก็เป็นทั้งสัญญาจำนอง และสัญญาจำนองย่อมมีผลเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมด้วย (ฎ.3039/2543 , 2900/2550 , 2143/2566)
-ถ้าไม่ได้ตั้งใจทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม แต่มีข้อความครบถ้วนจะถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมหรือไม่? แม้เอกสารที่ทำขึ้นจะฉบับเดียวหรือหลายฉบับ ไม่ได้ตั้งใจทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม แต่ถ้าอ่านรวมกันแล้วพอได้ความ ก็ถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมแล้ว เช่น บันทึกแจ้งความ คำเบิกความในคดีอาญา คำฟ้องในคดีอาญา (ฎ.3003/2538 , 3498/2546) , ฎ.439/2493 ตั๋วสัญญาใช้เงินมีข้อความแสดงว่าจำเลยรับว่ามีหนี้ที่ต้องชำระแก่โจทก์ แม้จะไม่ได้ระบุว่าเป็นหนี้อะไร ก็เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม (กรณีตั้งใจให้เป็นหลักฐานฯ แต่ไม่มีข้อความว่ากู้ยืม ก็ไม่ถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม)
-ปกติเช็คไม่ใช่หลักฐานการกู้ (ฎ.11637/2556) เว้นแต่มีข้อความอื่นประกอบ (ฎ.439/2493 , 2405/2520)
-ฎ.11637/2556 เช็คไม่มีข้อความใดเลยที่ส่อแสดงให้รู้ได้ว่าเป็นการกู้ยืมเงินกัน อีกทั้งสภาพของเช็คก็เป็นการใช้เงิน ไม่ใช่การกู้หรือยืมเงิน เช็คจึงมิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืม (ข้อสอบผู้ช่วย 61)
-ฎ.3817/2563 สำเนารายงานประจำวัน ไม่มีข้อความใดที่ทำให้เข้าใจได้ว่าจำเลยยืมเงินโจทก์และตกลงจะใช้คืน ดังนี้ไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมม.653 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์จะฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยได้
3.4) องค์ประกอบ ม.653 วรรคหนึ่ง องค์ประกอบที่สาม ผู้กู้ต้องลงลายมือชื่อ
-หลักฐานแห่งการกู้ยืม ไม่มีลายมือชื่อผู้ให้กู้ ฟ้องได้หรือไม่? หลักฐานเป็นหนังสือต้องลงลายมือชื่อผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ ผู้ให้กู้ยืมมิได้ลงลายมือชื่อก็ฟ้องร้องบังคับคดีได้
-ฎ.6930/2537 แม้ลายมือชื่อผู้ให้กู้ ไม่ใช่ลายมือชื่อ ส. ผู้ให้กู้ แต่เป็นลายมือชื่อปลอม ก็หามีผลให้หลักฐานการฟ้องร้องบังคับแก่จำเลยเสียไปไม่ (ข้อสอบเนติ 48) (กรณีผู้ลงลายมือชื่อแทนผู้ให้กู้ ไม่มีอำนาจฟ้องได้ (เทียบ ฎ.9742/2539 ข้อสอบผู้ช่วย 45))
-ผู้กู้ลงลายมือชื่อในช่องผู้เขียนหรือช่องพยาน ผลเป็นอย่างไร? ถ้าชัดเจนว่าเป็นผู้กู้ ข้อความในสัญญาก็ชัดว่าเป็นผู้กู้ แต่ตอนที่ลงลายมือชื่อ เผลอไปลงชื่อในช่องผู้เขียนหรือช่องพยาน ไม่เป็นไร ก็ถือว่ามีลายมือชื่อผู้กู้แล้ว (ฎ.868/2506 ข้อสอบเนติ 41 , 58 , ฎ.3262/2535)
-ผู้อื่นลงลายมือชื่อผู้กู้แทนผู้กู้ ได้หรือไม่? ฎ.696/2522 จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ โดยจำเลยยินยอมอนุญาตให้ ณ. บุตรจำเลย เป็นผู้ลงลายมือชื่อจำเลยในช่องผู้กู้แทนจำเลย ดังนี้หาผูกพันจำเลยไม่ (ข้อสอบเนติ 48) (แต่ถ้ามอบอำนาจให้ผู้อื่น เป็นผู้ทำสัญากู้แทนได้ ลงลายมือชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจ แบบนี้ได้ มีผลเสมอกับลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจให้ไปทำสัญญากู้ยืม เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมผูกพันผู้มอบอำนาจ ฎ.3039/2543)
-ผู้กู้ลงลายมือชื่อด้วยชื่อเล่น ได้หรือไม่? ได้ ฎ.3148/2530 (ป) เขียนชื่อเล่น ถือว่าเป็นการลงลายมือชื่อตามม.6533 วรรคหนึ่งแล้ว (เทียบ ฎ.11584/2554 ผู้กู้ลงลายมือชื่อด้วยนามสกุลเดิม ก็ไม่ได้ทำให้ไม่ใช่ลายมือชื่อผู้กู้)
-ผู้กู้เป็นนิติบุคคล กรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผู้กู้ไว้ แต่ไม่ได้ประทับตราที่ต้องลงไว้เพื่อผูกพันนิติบุคคล ผลเป็นอย่างไร? ฎ.15046/2557 แม้ บ. กรรมการผู้จัดการ ลงลายมือชื่อแต่ไม่ได้มีการประทับตราของลูกหนี้ก็ตาม แต่เมื่อได้รับเงินกู้จริงและจ่ายดอกเบี้ยให้แก่เจ้าหนี้ การกระทำของลูกหนี้จึงเป็นการให้สัตยาบัน ถือว่าลงลายมือชื่อของลูกหนี้ผู้ยืมแล้ว (ถ้าไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ผู้ลงลายมือชื่อต้องรับผิดตามลำพัง ฎ.1759/2545)
-การลงลายมือชื่อด้วยวิธีอื่น ๆ อย่าลืม ม.9 วรรคสอง ลายพิมพ์นิ้วมือ ที่ทำลงในเอกสารแทนการลงลายมือชื่อ หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนแล้ว ให้ถือเสมอกับลงลายมือชื่อ
-หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตามพ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544
--ฎ.1112/2566 แม้ข้อความสนทนาผ่านระบบแอปพลิเคชันไลน์ ระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นการสนทนาผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 และเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อข้อความสนทนานั้นยังฟังไม่ได้ว่าเงินจำนวน 7,800,000 บาท ที่โจทก์มอบให้แก่จำเลยที่ 1 ไป เป็นเงินกู้ยืม จึงไม่อาจถือเป็นหลักฐานกู้ยืมเงินเป็นหนังสือที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อไว้แล้ว หรือเป็นหนังสือรับสภาพหนี้เงินกู้ยืมตามพ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 ม.8 วรรคหนึ่ง และม.9 ที่จะนำมาฟ้องร้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดตามม.653 วรรคหนึ่ง
--ฎ.2162/2567 การกู้ยืมเงินครั้งที่ 2 ถึง 18 ซึ่งโจทก์ส่งข้อความถึงจำเลยในทำนองเดียวกันว่า "ช. จะจัดทำธุรกรรมให้ยืมเงินจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) ให้แก่ ฐ. เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจ การกู้ยืมเงินนี้ไม่คิดดอกเบี้ยและยังไม่บังคับวันกำหนดชำระเงินคืน ลงวันที่.... (พิมพ์ตกลงเพื่อยืนยัน)" ซึ่งจำเลยได้พิมพ์ข้อความว่า "ตกลง" ตอบกลับมาในโปรแกรมไลน์ การสนทนาทางโปรแกรมไลน์ เป็นการส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เมื่ออ่านข้อความสนทนาของโจทก์และจำเลยประกอบกันแล้ว ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์และจำเลยตกลงกัน โดยโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงิน และจำเลยตกลงกู้ยืมเงินแต่ละครั้งตามจำนวนที่ระบุในโปรแกรมไลน์ แม้ไม่มีการลงลายมือชื่อจำเลยไว้ แต่เมื่อจำเลยยอมรับว่าส่งข้อความตอบตกลง การที่โจทก์จะให้กู้ยืมเงินจริง ข้อความสนทนาทางโปรแกรมไลน์ จึงถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของจำเลยผู้กู้ยืมตามพ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 ม.7 , 8 , 9 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ (อาจารย์อยากออกข้อสอบ แต่ยังติดที่พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมฯ อยู่นอกขอบเขตเนติ แต่อนาคตก็ไม่แน่นอน)
3.5) องค์ประกอบ ม.653 วรรคหนึ่ง องค์ประกอบที่สี่ หลักฐานฯ ขอให้มีก่อนฟ้อง
-ฎ.2280/2567 ม.653 วรรคหนึ่ง การกู้ยืมเงินที่ต้องการหลักฐานเป็นหนังสือในการฟ้องร้องบังคับคดี ต้องเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท ขึ้นไป และหลักฐานเป็นหนังสือที่กฎหมายบังคับให้ต้องมี มิฉะนั้น จะฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้ โดยไม่จำต้องมีในขณะกู้ยืมกัน แม้จะมีหลักฐานเป็นหนังสือภายหลัง แต่ก่อนฟ้องร้องบังคับคดีก็เป็นอันใช้บังคับได้
3.6) องค์ประกอบ ม.653 วรรคหนึ่ง องค์ประกอบที่ห้า กรณีตัวเลขในสัญญากู้เงินสูงเกินกว่ามูลหนี้เงินกู้ที่ได้รับไป หรือกรณีแก้ไขตัวเลขเงินกู้ในสัญญา เรื่องนี้ออกข้อสอบมาทุกมุมแล้ว ไม่รู้ไม่ได้ อาจารย์แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1 เกิน , 2 กรอก , 3 แก้
-กลุ่ม 1 เกิน ผู้กู้ยินยอมลงลายมือชื่อในสัญญากู้ ที่ระบุตัวเลขสูงเกินกว่ามูลหนี้เงินกู้จริงหรือที่ส่งมอบ ก็สมบูรณ์เพียงเท่ามูลหนี้เงินกู้จริงหรือที่ส่งมอบ เช่น สัญญากู้ระบุ 7 แสน ส่งมอบจริง 4.3 แสน สมบูรณ์ 4.3 แสน (ฎ.7229/2552 , 8076/2556)
-กลุ่ม 2 กรอก
--ผู้กู้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ ที่ไม่มีการระบุตัวเลขเงินกู้และข้อความ แล้วผู้ให้กู้กรอกตัวเลขภายหลังตามจริง (สุจริต) ใช้บังคับได้ (ฎ.5685/2548 ข้อสอบเนติ 65)
--ผู้กู้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ ที่ไม่มีการระบุตัวเลขเงินกู้และข้อความ แล้วผู้ให้กู้กรอกตัวเลขภายหลังสูงเกินจริง (ไม่สุจริต) กรอกสูงเกินจริงโดยไม่ได้รับความยินยอม เป็นเอกสารปลอม ถือว่าไม่มีหลักฐานการกู้ จึงไม่อาจฟ้องร้องได้ แม้ผู้กู้รับว่ากู้จริงบางส่วนก็ไม่ต้องรับผิด (ฎ.759/2557 , 14627/2557 , 2560/2559 , 5486/2564)
-กลุ่ม 3 แก้
--ผู้ให้กู้แก้จำนวนเงินภายหลังผู้กู้ลงลายมือชื่อสูงเกินจริงโดยไม่ได้รับความยินยอม เป็นเอกสารปลอม แต่ไม่ทำให้หลักฐานที่ทำไว้เดิมที่มีผลสมบูรณ์ต้องเสียไป ผู้กู้ต้องรับผิดเท่าที่กู้ไปจริง (ฎ.1149/2552 ข้อสอบเนติ 68 , 407/2542)
--ผู้ให้กู้แก้จำนวนเงินภายหลังผู้กู้ลงลายมือชื่อตามจำนวนเงินจริง เพราะมากู้เงินเพิ่ม และไม่ได้ให้ผู้กู้ลงลายมือชื่อกำกับไว้ ผู้กู้รับผิดเฉพาะตามจำนวนเดิม เช่น กู้เงิน 3,100 บาท ทำหนังสือกู้ไว้ ต่อมาขอกู้เงินอีก 1,400 บาท โดยผู้กู้ไม่ได้ลงลายมือชื่อกำกับไว้ เท่ากับไม่มีหลักฐานฯ ในส่วน 1,400 บาท ผู้ให้กู้ฟ้องเรียกเงินตามหนังสือกู้ที่ทำไว้เดิม (ฎ.326/2507 ข้อสอบเนติ 71)
--ผู้ให้กู้แก้จำนวนเงินตามจริงก่อนผู้กู้ลงลายมือชื่อ ใช้บังคับได้ (แม้ตัวเลขและตัวอักษรที่แก้ไป จะไม่ได้ลงลายมือชื่อกำกับ ก็ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมโดยสมบูรณ์) (เทียบ ฎ.1154/2511)
4. หัวข้อที่ 4 การนำสืบการใช้เงินกู้ยืม ม.653 วรรคสอง "ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว"
4.1) ผู้กู้จะนำสืบการใช้ต้นเงินกู้ยืมด้วยเงินสด คือนำเงินสดมามอบให้ผู้ให้กู้โดยตรงได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งตามม.653 วรรคสอง (ถ้าไม่มีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าว นำสืบไม่ได้เลย (ฎ.36/2555) จะนำสืบพยานบุคคลไม่ได้เพราะต้องห้ามตามม.653 วรรคสอง ฎ.2615/2516)
-ฎ.3339/2532 (ป) ในการชำระหนี้เงินยืม ผู้ยืมให้ผู้ให้ยืมรับเงินเดือนแทนผู้ยืมแล้วหักเงินเดือนชำระหนี้ดังกล่าว สมุดเซ็นรับเงินเดือนของทางราชการที่ผู้ให้ยืมลงชื่อรับเงินเดือนแทนผู้ยืม จึงเป็นหลักฐานการใช้เงินตามม.653 วรรคสอง
-ฎ.6270/2539 การที่จำเลยอ้างว่ามีการชำระหนี้หมดสิ้นกันแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญา โดยอ้างว่าหายนั้น มิใช่เหตุที่ทำให้จำเลยทั้งสองหลุดพ้นจากความรับผิดดังที่บัญญัติไว้ในม.653 วรรคสอง
-การเวนคืนสัญญากู้ ต้องคืนต้นฉบับ จะคืนสำเนาไม่ได้ หรือทำสัญญากู้โดยมอบโฉนดที่ดินให้ ตอนคืนจะคืนแต่โฉนดไม่ได้ ต้องคืนสัญญากู้ด้วย มิฉะนั้น จะนำสืบการใช้เงินไม่ได้
4.2) ถ้าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น หรือเป็นเรื่องตกลงระงับหนี้ ไม่อยู่ในบังคับม.653 วรรคสอง จึงนำสืบการชำระหนี้ได้ เช่น ตีทรัพย์ใช้หนี้ ม.321 , โอนเงินทางไปรษณีย์ธนาณัติ , นำเงินเข้าบัญชี , มอบให้ไปรับเงินบำนาญแทน , มอบสมุดคู่ฝากพร้อมใบถอนหรือบัตรเอทีเอ็ม , จ่ายด้วยเช็ค , หักค่าแชร์ชำระหนี้เงินกู้ (ฎ.1178/2510 ชำระหนี้เงินกู้ด้วยการโอนที่ดิน , ฎ.97/2561 , 10227/2551 ผู้กู้นำเงินฝากเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ให้กู้)
-ฎ.3096/2565 จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์หรือหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืนหรือแทงเพิกถอนเป็นพยานหลักฐานในคดี จึงต้องห้ามมิให้นำสืบเรื่องการใช้เงินชำระหนี้กู้ยืม จึงไม่อาจรับฟังคำเบิกความของจำเลยที่อ้างตนเองเป็นพยานว่าจำเลยชำระหนี้เป็นเงินสดแก่โจทก์เป็นพยานหลักฐานได้ เพราะต้องห้ามตามม.653 วรรคสอง และป.วิ.พ. ม.94 แต่อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติดังกล่าวห้ามการนำสืบเฉพาะกรณีการใช้เงิน ไม่ห้ามการนำสืบกรณีการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามม.321 วรรคหนึ่ง ซึ่งการนำสืบพยานบุคคลและพยานเอกสารว่าจำเลยชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามม.321 วรรคหนึ่ง ไม่ต้องห้ามตามม.653 วรรคสอง และป.วิ.พ.ม.94(ก)
4.3) ม.653 วรรคสอง หมายความเฉพาะถึงการนำสืบใช้ต้นเงินที่กู้ยืมไปเท่านั้น ไม่รวมถึงการใช้ดอกเบี้ย การชำระดอกเบี้ยด้วยเงินสดย่อมนำสืบด้วยพยานบุคคลได้ (ฎ.243/2503 (ป) , 1332/2531)
-ฎ.670/2549 การนำสืบถึงการชำระดอกเบี้ยค้างชำระ มิใช่เป็นการนำสืบถึงการใช้ต้นเงิน จึงไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดงตามม.653 วรรคสอง
4.4) ข้อยกเว้นอีกเรื่องที่ต้องรู้ไว้ หากเป็นคดีผู้บริโภค จำเลยในฐานะผู้บริโภคมีสิทธินำสืบพยานบุคคลถึงการใช้เงินได้โดยไม่อยู่ในบังคับม.653 วรรคสอง
-ฎ.4594/2562 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม.10 ใช้ถ้อยคำว่าในการฟ้องคดีผู้บริโภค ย่อมต้องหมายความรวมถึงการต่อสู้คดีของผู้บริโภคด้วย จำเลยในฐานะผู้บริโภคมีสิทธินำสืบพยานบุคคลถึงการใช้เงินได้ โดยไม่อยู่ในบังคับว่าด้วยการนำสืบการใช้เงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วตามม.653 วรรคสอง
5. หัวข้อที่ 5 ดอกเบี้ยในการกู้ยืม ม.654 , 655 , พ.ร.บ.ห้ามเรียกฯ , พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมป.พ.พ.)
5.1) ม.654 ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี *ให้จำแค่นี้พอ ประโยคต่อไปไม่ต้องจำ
-พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ม.4(1) ถ้าบุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด (ร้อยละ 15 ต่อปี) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (*พ.ร.บ.นี้ต้องรู้ ออกข้อสอบได้)
-หากไม่ใช่สัญญากู้ยืมเงิน ก็ไม่ตกอยู่ในบังคับเรื่องดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงิน (ฎ.5102/2560 บันทึกข้อตกลงและสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลย ไม่ใช่สัญญากู้ยืมเงิน ไม่ตกอยู่ในบังคับพ.ร.บ.ห้ามเรียกฯ และม.654 แม้จะกำหนดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ก็ไม่ตกเป็นโมฆะ , 1050/2512)
-ผู้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเงินกู้ได้เกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยไม่อยู่ในบังคับม.654 (ฎ.930/2563 , 517/2565)
-พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมป.พ.พ. พ.ศ.2564 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 แก้ไข ม.7 , ม.224
ม.7 "ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน และมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง ให้ใช้อัตราร้อยละสามต่อปี
อัตราตามวรรคหนึ่ง อาจปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา โดยปกติให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนทุกสามปี ให้ใกล้เคียงกับอัตราเฉลี่ยระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์"
ม.224 "หนี้เงินนั้นให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น
ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด
การพิสูจน์ค่าเสียหายอย่างอื่นนอกจากนั้น ให้พิสูจน์ได้"
*สรุป ปัจจุบันเรื่องดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินกรณีผู้ให้กู้ไม่ใช่สถาบันการเงิน จะเป็นดังนี้
1. ถ้าตกลงไม่คิดดอกเบี้ย
--ก่อนผิดนัด คิดดอกเบี้ยไม่ได้
--หลังผิดนัด คิดดอกเบี้ยได้ 5% ต่อปี
2.ถ้าตกลงคิดดอกเบี้ย แต่ไม่ระบุอัตราหรือระบุว่าดอกเบี้ยตามกฎหมายอย่างสูง
--ก่อนผิดนัด คิดดอกเบี้ยได้ 3% ต่อปี ตามม.7 วรรคหนึ่ง
--หลังผิดนัด คิดดอกเบี้ยได้ 5% ต่อปี ตามม.224 วรรคหนึ่ง ประกอบม.7 วรรคหนึ่ง
3. ถ้าตกลงคิดดอกเบี้ยไม่เกิน 5% ต่อปี
--ก่อนผิดนัด คิดดอกเบี้ยได้ตามที่ตกลง
--หลังผิดนัด ถ้าไม่ได้ตกลงดอกเบี้ยผิดนัดไว้ ก็คิดดอกเบี้ยได้ 5% ต่อปี , แต่ถ้าตกลงดอกเบี้ยผิดนัดไว้ต่างหากด้วย เช่น ดอกเบี้ยผิดนัด 15% ต่อปี ถือว่าดอกเบี้ยผิดนัดในส่วนที่เพิ่มจากดอกเบี้ยเดิมเป็นเบี้ยปรับ หากศาลเห็นว่าเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินสมควร ย่อมใช้ดุลพินิจลดจำนวนเบี้ยปรับลงได้
4. ถ้าตกลงคิดดอกเบี้ย 8% หรือ 10% ต่อปี
--ก่อนผิดนัด คิดดอกเบี้ยได้ตามที่ตกลง
--หลังผิดนัด ถ้าไม่ได้ตกลงดอกเบี้ยผิดนัดไว้ ก็คิดดอกเบี้ยได้ 8% หรือ 10% ต่อปี ตามม.224 วรรคหนึ่ง ตอนท้าย (ถือว่าเป็นกรณีที่เจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมายก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น) , แต่ถ้าตกลงดอกเบี้ยผิดนัดไว้ต่างหากด้วย เช่น ดอกเบี้ยผิดนัด 15% ต่อปี ถือว่าดอกเบี้ยผิดนัดในส่วนที่เพิ่มจากดอกเบี้ยเดิมเป็นเบี้ยปรับ หากศาลเห็นว่าเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินสมควร ย่อมใช้ดุลพินิจลดจำนวนเบี้ยปรับลงได้
5. ถ้าตกลงคิดดอกเบี้ยเกินกฎหมาย หรือระบุดอกเบี้ยตามกฎหมายแต่เวลาคิดกันจริงเกินกฎหมาย
--ดอกเบี้ยก่อนผิดนัด โมฆะทั้งหมด (ข้อสอบเนติ 47) แต่ถือว่าข้อตกลงดอกเบี้ยดังกล่าวเท่านั้นที่ตกเป็นโมฆะ (ข้อสอบเนติ 73) ส่วนต้นเงินยังสมบูรณ์ และแม้เอาดอกเบี้ยที่โมฆะรวมต้นเงินกรอกในสัญญากู้เฉพาะต้นเงินก็ยังสมบูรณ์ (ข้อสอบเนติ 65)
--หลังผิดนัด คิดดอกเบี้ยได้ 5% ต่อปี ตามม.224 วรรคหนึ่ง ประกอบม.7 วรรคหนึ่ง
*ฎ.5376/2560 (ป) ดอกเบี้ยที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดที่ผู้ให้กู้เรียกไว้จากผู้กู้ แม้ผู้กู้ยอมชำระ ผู้ให้กู้ก็ไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยดังกล่าว ต้องนำไปหักต้นเงิน (ข้อสอบเนติ 73) (ฎ.930/2561 , 6237/2561 , 5056/2562 , 2532/2565)
-ฎ.745/2565 (เป็นข้อเท็จจริงเฉพาะคดี ในส่วนของอาจารย์จะไม่ออกฎีกานี้ (ของอาจารย์ท่านอื่นไม่รู้) แต่ขอให้อ่าน) โจทก์และจำเลยที่ 1 ประสงค์จะก่อนิติสัมพันธ์กันในฐานะผู้ถือหุ้นกู้และผู้ออกหุ้นกู้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามบทกฎหมายในเรื่องการออกหุ้นกู้อันเป็นความรับผิดชอบและอยู่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 1 เพียงฝ่ายเดียว และไม่ปรากฏว่าโจทก์ซึ่งลงทุนในฐานะผู้ถือหุ้นกู้กระทำโดยไม่สุจริต แม้ผลตอบแทนที่จำเลยที่ 1 ชำระแก่โจทก์ จะถือเป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดและตกเป็นโมฆะก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้กำหนดผลตอบแทนเอง ถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำการตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามม.407 จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจเรียกร้องคืนด้วยการนำมาคิดหักกลบกับต้นเงินกู้ยืมที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่โจทก์ได้
5.2) ดอกเบี้ยทบต้น ม.655
ม.655 "ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงิน แล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทำเป็นหนังสือ
ส่วนประเพณีการค้าขายที่คำนวณดอกทบต้นในบัญชีเดินสะพัดก็ดี ในการค้าขายอย่างอื่นทำนองเช่นว่านี้ก็ดี หาอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติซึ่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไม่"
ส่วนประเพณีการค้าขายที่คำนวณดอกทบต้นในบัญชีเดินสะพัดก็ดี ในการค้าขายอย่างอื่นทำนองเช่นว่านี้ก็ดี หาอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติซึ่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไม่"
-การตกลงให้เอาดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่ขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน ทำได้หรือไม่? ตกลงกันได้ตั้งแต่ขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน หรือจะตกลงภายหลังทำสัญญากู้ยืมเงินก็ได้ โดยทำเป็นหนังสือ (ผู้กู้ลงลายมือชื่อฝ่ายเดียวก็พอ) แต่ต้องตกลงให้ชัดเจนว่าดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่า 1 ปี จึงจะทบต้นได้ แต่ถ้าไปตกลงว่าผิดนัดไม่ส่งดอกเบี้ยรายเดือน ให้ทบต้นได้ เป็นโมฆะเฉพาะข้อตกลงเรื่องทบต้น (แต่ต้นเงินและอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย ยังสมบูรณ์)
-ฎ.342/2540 ม.655 วรรคหนึ่ง ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลเสีย ย่อมต้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นอย่างใดที่จะต้องบังคับให้ลงลายมือชื่อผู้ให้กู้อีก
-ฎ.1301/2566 ข้อตกลงตามสัญญากู้ ให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่า 1 ปี ทบเข้ากับต้นเงิน แล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากัน มีลักษณะเป็นการเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนที่กำหนดในรูปดอกเบี้ยทบต้นไว้ล่วงหน้าเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ จึงเป็นเบี้ยปรับตามม.379 หากสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามม.383 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนและใช้ดุลพินิจลดเบี้ยปรับลงโดยกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ครั้งเดียวชอบแล้ว (ฎ.2086/2566)
6. หัวข้อที่ 6 การรับหรือคืนทรัพย์สินแทนเงินกู้ยืม ม.656
ม.656 "ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจำนวนเงินนั้นไซร้ ท่านให้คิดเป็นหนี้ค้างชำระโดยจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ
ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมไซร้ หนี้อันระงับไปเพราะการชำระเช่นนั้น ท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ
ความตกลงกันอย่างใด ๆ ขัดกับข้อความดังกล่าวมานี้ท่านว่าเป็นโมฆะ"
ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมไซร้ หนี้อันระงับไปเพราะการชำระเช่นนั้น ท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ
ความตกลงกันอย่างใด ๆ ขัดกับข้อความดังกล่าวมานี้ท่านว่าเป็นโมฆะ"
-ม.656 วรรคหนึ่ง เช่น สัญญากู้เงินระบุ 1 ล้านบาท แต่ส่งมอบรถแทนเงินกู้ ถ้าราคารถตามราคาท้องตลาดขณะนั้น 6 แสนบาท ถือว่ากู้กัน 6 แสนบาท เป็นหนี้เท่ากับราคาตามท้องตลาด (ถ้าคู่สัญญาตกลงเขียนสัญญาว่ารถราคา 1 ล้านบาท ทั้งที่ราคาท้องตลาด 6 แสนบาท เป็นโมฆะเฉพาะข้อตกลงตามม.656 วรรคสาม)
-ม.656 วรรคสอง เช่น หนี้กู้ 1 ล้าน ผู้กู้เอาที่ดิน 2 แปลงใช้หนี้ (ที่ดิน 2 ล้าน) เป็นโมฆะ ผู้กู้เอาที่ดินคืนได้ และก็ยังต้องรับผิดหนี้กู้ยืม 1 ล้าน
-ฎ.3437/2559 การที่จำเลยตกลงรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตีใช้หนี้จากโจทก์ ถือได้ว่าเป็นการที่จำเลยผู้ให้กู้ยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินกู้ ซึ่งไม่ปรากฏว่าไ้มีการตกลงว่ามีการคิดราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ คือเวลาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ข้อตกลงจึงขัดต่อม.656 วรรคสอง ตกเป็นโมฆะตามม.656 วรรคสาม (เมื่อเป็นโมฆะแล้ว เรียกเอาที่ดินคืนได้)
ในส่วนของอาจารย์ ม.656 , 656 จะไม่ออกสอบ แต่มีอาจารย์ท่านอื่นอีกหลายท่าน อาจจะออกได้ ครั้งหน้าเป็นเรื่องค้ำประกัน
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น