สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายตัวแทน ประกันภัย ตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด (ครั้งที่ 4)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายตัวแทน ประกันภัย ตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด (ครั้งที่ 4)
อาจารย์ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2568
**********
1. เมื่อคราวที่แล้วเราพูดม.917 ใช้กับตั๋วเงินทุกประเภท ย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ ผู้ทรงโดยฐานเป็นผู้รับสลักหลัง รับโอนตั๋วเงินชนิดระบุชื่อผู้รับเงิน จะเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องเข้าหลักเกณฑ์ม.905 วรรคหนึ่ง คือต้องพิสูจน์ว่าตั๋วเงินนั้นมีการสลักหลังไม่ขาดสาย และม.905 วรรคหนึ่ง "..แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย"
-สรุปสั้น ๆ บุคคลที่เป็นผู้ทรงโดยฐานเป็นผู้รับสลักหลัก จะได้รับการสลักหลังมาด้วยการสลักหลังเฉพาะหรือการสลักหลังลอย ผลตามกฎหมายเหมือนกันเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายทั้ง 2 กรณี
-เช่น นายหนึ่งมีชื่อเป็นผู้รับเงินตามเช็คฉบับหนึ่ง โอนเช็คให้นายสอง โดยเขียนหลังเช็คว่าโอนเช็คให้นายสอง นายหนึ่งลงลายมือชื่อและส่งมอบเช็คให้นายสอง นายสองเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายในฐานเป็นผู้รับสลักหลัง , หรือหากนายหนึ่งจะลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คเฉย ๆ โดยไม่มีข้อความอะไร เป็นการสลักหลังลอยตามม.919 วรรคสอง ส่งมอบเช็คให้นายสอง นายสองก็เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน
2. ม.905 วรรคหนึ่ง "...เมื่อใดรายการสลักหลังลอย มีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้ที่ลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย..."
-เช่น นายหนึ่งเป็นผู้ทรงเช็ค จะโอนเช็คให้นายสอง จึงลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คเฉย ๆ (สลักหลังลอย ม.919 วรรคสอง) นายสองจึงเป็นผู้ทรง นายสองต้องการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป สามารถทำได้หลายวิธีตามม.920 วรรคสอง วิธีหนึ่งคือนายสองสามารถส่งมอบเช็คนั้นให้นายสามได้เลย โดยไม่ต้องสลักหลัง ต่อมานายสามสลักหลังเช็คให้นายสี่ นายสี่สลักหลังเช็คให้นายห้า นายห้าเป็นผู้ทรง ดังนั้น นายหนึ่งสลักหลังลอย และคนที่สลักหลังตามหลังไปอีกคือนายสามและนายสี่ (นายสองโอนเช็คโดยส่งมอบเฉย ๆ) นายสามคือบุคคลผู้ที่ลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุด เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย (ถือเสมือนว่านายสามได้รับเช็คจากการสลักหลังลอยจากนายหนึ่งโดยตรง เพื่อแก้ปัญหาว่าการสลักหลังไม่ขาดสาย นายหนึ่งไปนายสาม นายสามไปนายสี่ นายสี่ไปนายห้า นายห้าจึงสามารถพิสูจน์ว่ามีการสลักหลังไม่ขาดสาย)
3. ม.905 วรรคหนึ่ง "...อนึ่ง คำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียแล้ว ท่านให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย" หมายความว่า นายหนึ่งเป็นผู้ทรงเช็คระบุชื่อฐานเป็นผู้รับเงิน นายหนึ่งจะโอนเช็คให้นายสอง เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้า เขียนข้อความด้านหลังเช็คว่าโอนให้นายสอง ลงลายมือชื่อนายหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ส่งมอบเช็ค การโอนยังไม่สมบูรณ์ กฎหมายให้สิทธินายหนึ่ง นายหนึ่งเปลี่ยนใจ ชำระหนี้เป็นเงินสด นายหนึ่งสามารถขีดฆ่าคำสลักหลังทิ้งได้ เช็คไม่เสีย (การกระทำที่กฎหมายให้อำนาจ ย่อมไม่ใช่การกระทำแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในตั๋วเงินตามม.1007)
-การขีดฆ่าคำสลักหลังจะกระทำได้ต่อเมื่อตั๋วเงินยังอยู่ในความครอบครองของผู้สลักหลัง ถ้าส่งมอบไปแล้ว จะไปขีดฆ่าไม่ได้แล้ว ผลทางกฎหมายจะเปลี่ยนเลย
-เพราะฉะนั้น จึงได้หลักอย่างหนึ่ง บุคคลที่จะสลักหลังโอนตั๋วเงินได้ขณะนั้นต้องเป็นผู้ทรง แต่เมื่อสลักหลังโอนตั๋วเงินไปแล้ว ฐานะความเป็นผู้ทรงก็หมดไป ผู้รับสลักหลังกลายเป็นผู้ทรงรายใหม่ ม.920 วรรคหนึ่ง "อันการสลักหลังย่อมโอนไปซึ่งบรรดาสิทธิอันเกิดแต่ตั๋วแลกเงิน" คนที่มีสิทธิในตั๋วเงินคือผู้ทรง เมื่อสลักหลังส่งมอบไปแล้ว ไม่มีตั๋วเงินในครอบครองแล้ว ฐานะความเป็นผู้ทรงก็หมดไป กลายเป็นลูกหนี้ เพราะลงลายมือชื่อในตั๋วเงินตามม.900 วรรคหนึ่ง
*ฎีกาเรื่องตั๋วเงินแทบจะหยุดนิ่ง ปัจจุบันยังไม่มีอะไรแปลกใหม่
4. หลักผู้รับโอนตั๋วเงินมาโดยสุจริต ย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้โอน กฎหมายคุ้มครองผู้รับโอน หลักกฎหมายนี้อยู่ใน ม.905 วรรคสอง และวรรคสาม และม.916 (ม.916 เป็นมาตราที่มีคดีในศาลจำนวนมาก)
4.1) ม.905 วรรคสอง "ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจำต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริต หรือได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง"
-เช่น นายหนึ่งมีชื่อเป็นผู้รับเงินตามเช็ค นายสองเอาปืนมาขู่บังคับให้นายหนึ่งสลักหลังโอนเช็คให้ นายหนึ่งกลัวจึงสลักหลังว่าโอนเช็คให้นายสอง ลงลายมือชื่อและส่งมอบเช็คให้นายสอง ต่อมาสองสลักหลังเช็คชำระหนี้ให้นายสาม นายสามรับเช็คโดยสุจริต ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ เพราะนายสองนำเช็คมาชำระหนี้เป็นประจำและขณะรับเช็คก็ไม่มีใครแจ้งความ นายหนึ่งรู้ว่าเช็คฉบับนี้อยู่ที่นายสาม นายหนึ่งไปเล่าเหตุการณ์ให้นายสามฟังและขอคืนเช็ค นายสามจะต้องสละเช็คคืนให้นายหนึ่งหรือไม่ ?
ธงคำตอบคือไม่ต้องคืน ถ้านายสามแสดงให้ปรากฏสิทธิของนายสามตามวิธีการในวรรคก่อน คือเช็คที่ได้รับมามีการสลักหลังไม่ขาดสาย โดยพิสูจน์ว่านายหนึ่งสลักหลังเช็คให้นายสอง นายสองสลักหลังให้นายสาม จึงไม่ขาดสาย เพราะนายสามรับโอนเช็คมาโดยสุจริต ได้รับความคุ้มครอง นายสามหาจำต้องสละเช็คคืนนายหนึ่งไม่ (กรณีนี้ลายมือชื่อนายหนึ่งก็เป็นของจริงเพียงแต่ลงชื่อเพราะถูกขู่ ไม่ใช่ลายมือชื่อปลอม หากเป็นลายมือชื่อปลอม ธงคำตอบจะเปลี่ยนทันที นายสามจะยึดหน่วยเช็คไว้ไม่ได้ ตามม.1008)
4.2) ม.905 วรรคสาม "อนึ่ง ข้อความในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย"
-เช่น นายหนึ่งเป็นเช็คชนิดผู้ถิอ ทำเช็คหาย นายสองเก็บเช็คได้ เอาเช็คไปชำระหนี้นายสาม ต่อมานายหนึ่งรู้ว่าเช็คที่หายอยู่ที่นายสาม จึงมาขอเช็คคืน นายสามต้องคืนหรือไม่ ? นายสามไม่ต้องคืน
*ถ้าข้อสอบ เป็นตั๋วเงินระบุชื่อผู้รับเงิน ใช้ม.905 วรรคสอง แต่ถ้าคำถามเป็นตั๋วเงินชนิดผู้ถือ ต้องตอบหลักกฎหมายตามม.905 วรรคสอง และวรรคสาม จึงจะสมบูรณ์ จะใส่แต่วรรคสามไม่ได้
-สรุป ม.905 วรรคสอง และวรรคสาม เป็นเรื่องพิพาทระหว่างผู้ทรงในอดีตกับผู้ทรงปัจจุบันว่าใครมีสิทธิในตั๋วเงินฉบับนั้นดีกว่ากัน
5. หนี้ตามตั๋วเงินจะเรียกว่าหนี้อันจะพึงต้องชำระตามเขาสั่ง ตั๋วเงินนั้นเป็นตราสารเปลี่ยนมือ สามารถโอนต่อ ๆ กันไปได้ โดยไม่มีการจำกัดจำนวนผู้รับโอน (ตามทฤษฎีสามารถโอนได้ไม่จำกัด แต่ในความจริงส่วนมากจะโอนแค่ทอดเดียว)
5.1) วิธีการโอนตั๋วเงิน กรณีตั๋วเงินชนิดผู้ถือ (มีในตั๋วแลกเงิน กับเช็คเท่านั้น) ม.918 + ม.989 "ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน" ซึ่งในความเป็นจริงผู้รับโอนเช็ค มักจะให้สลักหลังโอนให้ด้วย เพื่อให้ผู้โอนมีฐานะเป็นลูกหนี้ จะได้ฟ้องร้องได้ หากมีการสลักหลังเช็คผู้ถือ ผลจะเป็นไปตามม.921 "การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย" คนที่สลักหลังเช็คผู้ถือ เรียกว่าผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่าย จะไม่เรียกว่ารับผิดในฐานะผู้สลักหลัง (*คำพิพากษาศาลฎีกาก็จะอ้างม.918 , 921 ประกอบม.989)
-เช็คชนิดระบุชื่อผู้รับเงิน คนที่จะสลักหลังโอนเช็คได้ขณะนั้นต้องเป็นผู้ทรง , แต่เช็คผู้ถือ คนที่ไปสลักหลังไม่ต้องเป็นผู้ทรงก็ได้ เมื่อสลักหลังแล้ว ก็รับผิดในฐานะผู้รับอาวัล
5.2) วิธีการโอนตั๋วเงิน กรณีตั๋วระบุชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน (มีในตั๋วเงินทั้ง 3 ประเภท) ม.917 วรรคหนึ่ง , 919 , 985 , 989
-ม.917 วรรคหนึ่ง "อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ"
-ม.919 วรรคหนึ่ง "คำสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงิน หรือใบประจำต่อ และต้องลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง" (ต้องเขียนลงในตั๋วเงิน จะเขียนในเอกสารอื่นไม่ได้)
-ม.919 วรรคสอง "การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทำอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจำต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้เรียกว่า "สลักหลังลอย"" ผู้สลักหลังเชียนว่า "โอนให้..." โดยไม่ได้ใส่ชื่อผู้รับโอน ก็คือ "มิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์" , ส่วนคำว่า "แม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทำอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงิน" ก็คือ ลงลายมือชื่อโดยไม่ได้เขียนข้อความอะไร ก็เป็นการสลักหลังที่สมบูรณ์ เรียกว่าสลักหลังลอย
-ม.920 วรรคหนึ่ง เมื่อสลักหลังไปแล้ว สิทธิที่มีอยู่ก็โอนไป ผู้รับสลักหลังก็มีตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ก็เป็นผู้ทรงรายใหม่ และผู้ทรงรายใหม่นี้สามารถโอนตั๋วเงินต่อไปได้ตามม.920 วรรคสอง ซึ่งเป็นมาตราสำคัญ
"ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใดก็ได้ คือ
(1) กรอกความลงในที่ว่างด้วยเขียนชื่อของตนเอง หรือชื่อบุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง
(2) สลักหลังตั๋วเงินต่อไปอีกเป็นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง
(3) โอนตั๋วเงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด"
(2) สลักหลังตั๋วเงินต่อไปอีกเป็นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง
(3) โอนตั๋วเงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด"
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น