สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายละเมิด (ครั้งที่ 11-12)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายละเมิด (ครั้งที่ 11-12)
อาจารย์อัมภัสชา ดิษฐอำนาจ
วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568
**********
1. ความเสียหายอันเกิดจากยานพาหนะ
-ม.437 วรรคหนึ่ง "บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใด ๆ อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง"
-ความเสียหายอันเกิดจากยานพาหนะนี้ ต้องเป็นยานพาหนะที่เดินด้วยเครื่องจักรกล
-ยานพาหนะที่เคลื่อนที่ไปด้วยกำลังเครื่องจักรกล เครื่องยนต์ เครื่องไฟฟ้า พลังงานปรมาณู พลังงานแสงแดด พลังงานแม่เหล็ก ที่ทำให้เครื่องจักรกลทำงาน
-กรณีถือว่ามีสภาพเดียวกับยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล เช่น เรือโยง เรือพ่วง เรือลาก รถลาก รถพ่วง รถแล่นดับเครื่อง
-ถ้าจอดอยู่กับที่ , รถจอดเทปูน เป็นทรัพย์อันตราย
1.1) ความเสียหายเกิดขณะยานพาหนะนั้นเดิน ต้องเกิดจากยานพาหนะโดยตรง โดยยานพาหนะต้องเคลื่อนที่อยู่ด้วยขณะเกิดเหตุ เช่น เฉี่ยวชน หม้อน้ำรถระเบิด ถังน้ำมันลุกไหม้ ซุงหลุดจากรถพ่วง พลิกคว่ำ กระจกหลุด กระบะหลุด น้ำกระเด็นเปียกคนข้างถนน คลื่นทำให้เรือบรรทุกข้าวคว่ำ แรงกระเทือนทำให้บ้านเสียหาย
-ความเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะด้วยกัน ข้อสันนิษฐานตามม.437 เพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย เพราะอาจพิสูจน์ไม่ได้ว่าเหตุความเสียหายเกิดขึ้นอย่างไร ต่างจากฝ่ายผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะซึ่งสามารถระมัดระวังควบคุมดูแลได้ดีกว่า ศาลฎีกาจึงวางหลักว่าจะนำข้อสันนิษฐานความรับผิดตามม.437 นี้ ไปใช้แต่เฉพาะกรณีก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งมิใช่ยานพาหนะที่เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลเท่านั้น (ยานพาหนะที่เคลื่อนที่ด้วยกำลังเครื่องจักรกลทั้งสองฝ่ายชนกัน ไม่เข้าม.437)
1.2) ผู้ต้องรับผิดตามม.437
-ผู้ครอบครองยานพาหนะ ผู้ที่ใช้ยานพาหนะในฐานะผู้ยึดถือขณะเกิดเหตุ หากเจ้าของไม่อยู่ในรถ จึงไม่ใช่ผู้ครอบครอง ไม่ต้องรับผิดตามม.437 (แต่อาจต้องรับผิดในฐานะนายจ้างม.425 หรือตัวการม.427)
-ฎ.912/2477 ผู้ที่เป็นแต่ผู้ครอบครองก็ดี เป็นแต่ผู้ควบคุมดูแลก็ดี ย่อมรับผิดตามม.437 และถ้าผู้ครอบครองและผู้ควบคุมดูแลเป็นคนละบุคคลกัน บุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดด้วยกัน
-ฎ.2481/2533 โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะที่เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ ไม่ใช่ในฐานะนายจ้างหรือตัวการ จึงเป็นฟ้องที่อาศัยบทบัญญัติม.437 ฉะนั้นแม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์ แต่เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 2 ร่วมไปกับรถยนต์นั้น จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองรถยนต์ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด
-ผู้ควบคุมดูแลยานพาหนะ บุคคลที่ยึดถือและรับผิดชอบควบคุมบังคับยานพาหนะให้เคลื่อนที่ไป กฎหมายไม่ได้ใช้คำว่าขับขี่
-ฎ.3088/2524 จำเลยเป็นพนักงานนำร่องเรือเดินสมุทร จึงเป็นผู้ควบคุมยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรกลตามม.437 นายเรือและพนักงานเรือดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้คำสั่งในการนำร่องของจำเลยด้วย ไม่ได้เป็นเพียงผู้แนะนำเรือเท่านั้น
-ฎ.769/2485 เช่ารถยนต์พร้อมคนขับ คนขับรถเป็นผู้ควบคุมดูแล ผู้เช่าไม่ใช่ผู้ควบคุมดูแล
-ฎ.436-437/2559 การจะได้ประโยชน์ของข้อสันนิษฐานจะต้องไม่มีส่วนในการควบคุมหรือครอบครองยานพาหนะ จำเลยและ ป. ขับรถเฉี่ยวชนกัน ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ทรัพย์สินเสียหาย จำเลยและ ป. เป็นผู้ควบคุมดูแล จึงต้องรับผิด เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเหตุสุดวิสัย
1.3) เหตุยกเว้นความผิด
-เหตุสุดวิสัย หรือเป็นความผิดของผู้เสียหาย ฝ่ายยานพาหนะมีภาระพิสูจน์ หากพิสูจน์ไม่ได้ต้องแพ้คดี
-ฎ.1444/2505 ลูกจ้างของจำเลยขับรถตกห้วยทำให้ตนเองและบุตรของโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ฟ้องจำเลยให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน จำเลยต้องพิสูจน์ว่าเป็นความผิดของโจทก์หรือเพราะเหตุสุดวิสัย เพราะลูกจ้างของจำเลยเป็นผู้ควบคุมรถยนต์ซึ่งเป็นยานพาหนะตามม.437
-เหตุสุดวิสัย เป็นไปตามม.8 ซึ่งเป็นเหตุที่ธรรมชาติที่นอกเหนืออำนาจของมนุษย์ไม่อาจป้องกันได้ แม้จะระมัดระวังตามสมควรแล้วก็ตาม
-ฎ.1636/2506 จำเลยขับรถบรรทุกซึ่งมีผู้เสียหายขอโดยสารมาด้วย ระหว่างทางรถตกหลุม แหนมหน้าหักไปค้ำคันส่ง ทำให้รถเฉไปชนหลักกิโลเมตรข้างทางและตะแคง ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย เป็นเหตุสุดวิสัย
-ตัวอย่างเหตุสุดวิสัย ขับรถมาตามปกติ ทับคนที่ถูกรถชนแล้วกระเด็นมา , วิ่งตัดหน้ารถที่จำเลยขับในระยะกระชั้นชิด , ขับรถความเร็วปกติหลบรถที่ล้ำมา บังคับรถไม่ได้ , หักหลบรถจักรยานยนต์ที่ออกจากซอย
-ตัวอย่างไม่ใช่เหตุสุดวิสัย (ความเสื่อมของรถ) ฎ.634/2501 ข้ออ้างว่ารถคว่ำเพราะนอตคันส่งพวงมาลัยหลุด แม้จะจริงก็เป็นเรื่องที่เกิดจากเครื่องจักรกล ซึ่งเป็นหน้าที่ผู้ขับต้องคอยตรวจตราดูแล จะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้ เพราะไม่ใช่เกิดจากภัยนอกอำนาจซึ่งไม่อาจรู้และป้องกันได้ , ระบบเบรก , ฝาครอบหน้ารถ ฝากระโปรงรถหลุด
-ความผิดของผู้เสียหาย เช่น ผู้เสียหายพุ่งตัวให้รถไฟทับ , วิ่งตัดหน้ารถยนต์ในระยะกระชั้นชิด
-แม้ความเสียหายนั้นผู้เสียหายมีส่วนผิดอยู่ด้วย ฝ่ายพาหนะก็ยังต้องรับผิดอยู่ แต่มีสิทธิได้ลดหย่อนค่าสินไหมทดแทนตามม.442 , 223 เท่านั้น
-กรณีผู้เสียหายกระทำตนเองให้เกิดความเสียหายเพื่อเสี่ยงภัยหนีอันตรายเฉพาะหน้าซึ่งผู้กระทำได้ก่อขึ้น ที่ไม่ใช่ความผิดของผู้เสียหาย ฝ่ายพาหนะต้องรับผิด เช่น รถยนต์จะวิ่งตัดหน้ารถไฟ ผู้เสียหายกลัวถูกรถไฟชนจึงรีบกระโดดลงจากรถยนต์ได้รับบาดเจ็บ คนขับรถยนต์ต้องรับผิด
2. ความเสียหายอันเกิดจากทรัพย์อันตราย
-ม.437 วรรคสอง "ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงบุคคลผู้มีไว้ในครอบครองของตนซึ่งทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ หรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ หรือโดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นด้วย"
-ทรัพย์อันตรายโดยสภาพ โดยสภาพของทรัพย์นั้นเองทำให้เกิดอันตายได้ เช่น กับดักสัตว์ บันไดเลื่อน ลิฟต์ น้ำมันเบนซิน ดินปืน กระแสไฟฟ้า น้ำกรด ท่อส่งน้ำประปา
-ฎ.1869/2492 กระแสไฟฟ้าที่จัดขึ้นเพื่อจำหน่าย ย่อมเป็นของที่เกิดอันตรายได้โดยสภาพ หรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ เจ้าของผู้จำหน่ายกระแสไฟฟ้าต้องรับผิด เมื่อมีผู้รับอันตรายจากสายไฟฟ้าที่ขาดอยู่ที่ถนน เว้นแต่จะเป็นเหตุสุดวิสัย โดยไม่ต้องคำนึงถึงความประมาทเลินเล่อของเจ้าของ
-ฎ.1919/2523 จำเลยเป็นเจ้าของบ้าน มีการขึงสายทองแดงเปลือยปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้รอบบ้าน แล้วไม่ดูแลให้สายไฟอยู่ในสภาพเรียบร้อย สายไฟฟ้าตกลงมาพาดรั้ว ผู้ตายไปยืนปัสสาวะริมรั้ว ถูกไฟดูด เจ้าของบ้านต้องรับผิดเพราะเป็นผู้ครอบครองดูแล
-ทรัพย์อันตรายโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ ทรัพย์ที่โดยสภาพไม่เป็นอันตราย แต่อาจเกิดอันตายเมื่อนำไปใช้ เช่น มีดวางเฉย ๆ ไม่เป็นอันตราย แต่ถ้านำมาฟันหรือแทงใครก็เกิดอันตรายเมื่อนั้น
-ทรัพย์อันตรายโดยอาการกลไกของทรัพย์ ตัวทรัพย์นั้นมีเครื่องจักรกลเป็นตัวสำคัญในการทำงาน เช่น เครื่องสูบน้ำ มอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องจักรกลในโรงงาน ชิงช้าสวรรค์ แต่ไม่ใช่ยานพาหนะตามวรรคหนึ่ง หากเป็นยานพาหนะที่ติดเครื่องจอดอยู่กับที่ หม้อน้ำเกิดระเบิดถือว่าเป็นทรัพย์อันตรายโดยอาการกลไกของทรัพย์
-ผู้รับผิด จำกัดผู้รับผิดเฉพาะผู้ครอบครองทรัพย์อันตรายในขณะเกิดเหตุ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ
-เหตุยกเว้นความผิด ผู้ครอบครองทรัพย์อันตรายไม่ต้องรับผิดเมื่อพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้เสียหายนั้นเอง
-ฎ.179/2522 เสาไฟฟ้าหักเพราะไฟไหม้หญ้าซึ่งไม่ได้ถางและเคยไหม้เสาหักมาแล้ว เป็นเหตุที่ระวังป้องกันได้ ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย
-ฎ.529/2523 ทางมะพร้าวพาดไปถูกสายไฟฟ้าเมื่อมีลมพัด ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เพราะอาจป้องกันได้
-ตัวอย่างความผิดของผู้เสียหาย ปีนไปตัดสายไฟฟ้าเพื่อขโมย ปีนหม้อไฟแรงสูงเพื่อตัดกิ่งหรือสอยผลไม้
-ฎ.883/2518 เด็กปีนรั้วเก็บดอกรัก ถูกสายไฟฟ้าเปลือยตกลงมาทับ เด็กไม่คาดว่าจะมีสายไฟฟ้า ไม่ใช่ความผิดของเด็ก ผู้ครอบครองต้องรับผิด
3. ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด
-ม.438 "ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย"
3.1) ค่าสินไหมทดแทน เช่น ค่าขาดประโยชน์ , ขาดกำไร , ค่าเช่า , ทำให้เสียหายก็ชดใช้เต็มราคา แล้วมอบซากทรัพย์ให้ผู้ทำละเมิด , เอาซากทรัพย์แล้วเรียกให้ชดใช้ราคาในส่วนที่ขาด
-ฎ.691/2490 ละเมิดโดยรื้อไม้ไปจากโรงเรือน เจ้าของฟ้องเรียกค่าเสียหายอย่างเดียวโดยไม่ขอให้คืนไม้ได้ เพราะเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ทำให้โรงเรือนเสียหาย มิได้ฟ้องเรียกเอาไม้คืน
-ฎ.1504/2516 สิทธิเรียกร้องเอาคืนซึ่งตัวทรัพย์นั้น โจทก์จะเรียกเอาแต่ราคาของทรัพย์โดยที่ไม่ปรากฏว่าจำเลยไม่อาจที่จะคืนทรัพย์นั้นได้ด้วยเหตุใดไม่ได้ แม้การเรียกเอาแต่ราคามีผลเหมือนกันกับเรียกเอาทรัพย์ ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์เสียก่อนได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
-ฎ.5259/2559 ละเมิดทำให้รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายทั้งคัน ไม่อาจซ่อมได้ ผู้เช่าซื้อเรียกราคารถยนต์ขณะเกิดเหตุจากผู้ทำละเมิดได้ แต่จะเรียกค่าเช่าซื้อและเงินดาวน์ที่ชำระไปแล้วไม่ได้ (การใช้ราคา ต้องคิดขณะเกิดเหตุละเมิดว่าทรัพย์นั้นราคาเท่าใด)
3.2) ค่าเสียหาย คือ ค่าที่ทำให้เขาเกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างอื่น
-ฎ.2589/2520 จำเลยนำสัตว์ไปกินน้ำในทางน้ำ ย่ำไปในนาของโจทก์เป็นละเมิด โจทก์ไม่นำสืบค่าเสียหาย ศาลพิพากษาห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องโดยไม่กำหนดค่าเสียหายให้ (ไม่สืบ = ศาลไม่รู้เลย)
-ละเมิดเครื่องหมายการค้า แม้นำสืบไม่ได้ ศาลกำหนดตามสมควรได้ (นำสืบ แต่สืบไม่ได้ = ศาลกำหนดตามสมควรได้)
-ฎ.1418/2534 จำเลยขับรถทับขาโจทก์ ผ่าตัด ใส่ขาเทียม ไม่มีใบเสร็จ ศาลกำหนดให้ตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
3.3) วิธีกำหนดค่าสินไหมทดแทน ม.438 ใช้พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
-โดยสถานใด คือ ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนวิธีไหน ขึ้นอยู่กับการทำละเมิดของจำเลย และความเสียหายที่โจทก์ได้รับ เช่น ให้คืนทรัพย์ ใช้ราคา ใช้ค่าเสียหาย โฆษณา ให้จำเลยหยุดการกระทำละเมิด ให้เพิกถอนการโอนทรัพย์
-เพียงใด คือ จะให้ใช้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ โจทก์มีหน้าที่นำสืบ , ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดประมาณ , เสียหายแก่ชื่อเสียง ให้โฆษณาขอโทษทางหนังสือพิมพ์กี่วัน
-พฤติการณ์แห่งละเมิด คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยเป็นอย่างไร มีความประมาทเลินเล่อมากหรือน้อยเพียงใด หรือเป็นการกระทำโดยจงใจอุกอาจ , ขับเร็วมากในถนนหลวง , ขับผ่านคนพลุกพล่าน , สูบบุหรี่ใกล้ถังเชื้อเพลิง ในปั้มน้ำมัน
-ฎ.1497/2554 ม.438 วรรคหนึ่ง บัญญัติหลักเกณฑ์ค่าสินไหมทดแทนมูลละเมิด นอกจากจะคำนึงถึงความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ ยังต้องพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ขณะเกิดเหตุกับความร้ายแรงแห่งการกระทำละเมิดประกอบด้วย
-ความร้ายแรงแห่งละเมิด คือ จำเลยทำละเมิดโดยอุกอาจ ทารุณโหดร้ายหรือไม่ ละเมิดซ้ำ ใช้อาวุร้ายแรงหรือไม่
-ฎ.4805/2553 ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายรื้อถอนอาคารและค่าสูญเสียตัวอาคาร ที่ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ใช้สอย แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายที่ได้รับ แต่ในเมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายจากการละเมิดของจำเลย ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงของละเมิด
-ผู้เสียหายมีส่วนผิด ศาลก็อาจจะแบ่งส่วนรับผิดได้ตามม.422
-ฎ.2329-2333/2523 ฝนตกหนัก จำเลยขับรถเร็ว เสียหลักชนรถโจทก์ที่จอดรถล้ำเส้นมา 90 ซม. แต่ถนนกว้าง 8 เมตร เหลือพอที่จะขับรถผ่านไปได้โดยสะดวก ไม่ถือว่าโจทก์มีส่วนประมาท
-ฎ.3367/2538 ผู้เสียหายเป็นผู้โดยสาร และไม่มีมีส่วนประมาท จะนำม.422 มาใช้บังคับไม่ได้
-ฎ.7173/2558 ถือเอาการกระทำละเมิดมาเป็นเกณฑ์พิจารณา ไม่ได้ถือเอาความเสียหายมาเป็นเกณฑ์
-ฎ.6025/2550 โจทก์มีส่วนก่อเหตุ แต่จำเลยใช้ปืนยิง เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ มิใช่ความยินยอมของโจทก์ ที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดตามม.422 , 223
-กรณีผู้ทำละเมิดไม่อาจคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงผิดปกติ โดยผู้เสียหายละเลยไม่เตือนก่อน เช่น ผู้เสียหายจ้างจำเลยขนส่งกล่องบรรจุของแตกง่าย แต่ผู้เสียหายไม่แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อระมัดระวัง
-กรณีผู้เสียหายละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหาย คือ เมื่อความเสียหายจากการละเมิดเกิดขึ้น ฝ่ายผู้เสียหายอาจบรรเทาความเสียหายได้ แต่ไม่บรรเทา ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้น้อยลงได้ เช่น รถชนรถน้ำตาลคว่ำ แต่ไม่เก็บ ฝนตก น้ำตาลละลาย
-ฎ.381/2525 รถจักรยานยนต์ชนรถยนต์ แล้วเกิดไฟลุกไหม้ แต่ไม่เอารถยนต์ถอยออก ปล่อยให้ไฟไหม้ สามารถถอยออกได้ แต่ไม่ถอยหลบหนีไป เป็นการไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหาย
-การกำหนดค่าเสียหายโดยประมาณ เป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายโดยการประมาณ ซึ่งใช้ทั้งการกำหนดค่าสินไหมทดแทนอันเป็นบททั่วไปตามม.438 ในกรณีมีความเสียหายแต่โจทก์นำสืบค่าเสียหายไม่ได้
-ฎ.4018/2533 (ต้องเป็นความเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิด) โจทก์บาดเจ็บต้องลางาน นายจ้างไม่เลื่อนเงินเดือน เพราะลาเกินสิทธิจากการพักรักษาตัว จึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิด
-ตัวอย่างที่ไม่ใช่ค่าเสียหายโดยตรง ผู้ทำละเมิดไม่ต้องรับผิด เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีละเมิด , ค่ารถแท็กซี่พาหนะไปให้ปากคำ , ค่าถ่ายรูป , ค่าจ้างทนายความ
3.4) ดอกเบี้ยในค่าเสียหาย เมื่อโจทก์มีสิทธิได้รับการชดใช้ค่าเสียหายตามม.438 และมาตราต่อ ๆ มาแล้ว หากเป็นตัวเงิน จำเลยต้องรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3+2 ต่อปี ตามม.206 , 224 , 7
-ดอกเบี้ยในราคาทรัพย์ ม.440 "ในกรณีที่ต้องใช้ราคาทรัพย์อันได้เอาของเขาไปก็ดี ในกรณีที่ต้องใช้ราคาทรัพย์อันลดน้อยลงเพราะบุบสลายก็ดี ฝ่ายผู้ต้องเสียหายจะเรียกดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องใช้ คิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคานั้นก็ได้"
4. ความรับผิดที่ไม่อาจคืนทรัพย์เพราะอุบัติเหตุ
-ความรับผิดที่ไม่อาจคืนทรัพย์ ในกรณีเอาทรัพย์เขาไปในลักษณะแย่งการครอบครอง โดยไม่มีอำนาจและยังครอบครองทรัพย์นั้นอยู่โดยละเมิด ต่อมาทรัพย์นั้นถูกทำลายหรือไม่อาจคืนทรัพย์ ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดตามม.439
-แต่ถ้าทำลายทรัพย์ทันที ก็ไม่อาจคืนทรัพย์ตั้งแต่แรก ต้องใช้ค่าเสียหายตามม.438 ไม่ใช่ม.439
-ม.439 "บุคคลผู้จำต้องคืนทรัพย์อันผู้อื่นต้องเสียไปเพราะละเมิดแห่งตนนั้น ยังต้องรับผิดชอบตลอดถึงการที่ทรัพย์นั้นทำลายลงโดยอุบัติเหตุ หรือการคืนทรัพย์ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างอื่นโดยอุบัติเหตุ หรือทรัพย์นั้นเสื่อมเสียลงโดยอุบัติเหตุนั้นด้วย เว้นแต่เมื่อการที่ทรัพย์สินทำลาย หรือตกเป็นพ้นวิสัยจะคืน หรือเสื่อมเสียนั้น ถึงแม้ว่าจะมิได้มีการทำละเมิด ก็คงจะต้องตกไปเป็นไปอย่างนั้นอยู่เอง"
5. การใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ครองทรัพย์
-ม.441 "ถ้าบุคคลจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ เพราะเอาสังหาริมทรัพย์ของเขาไปก็ดี หรือเพราะทำของเขาให้บุบสลายก็ดี เมื่อใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์นั้นอยู่ในขณะที่เอาไป หรือขณะที่ทำให้บุบสลายนั้นแล้ว ท่านว่าเป็นอันหลุดพ้นไปเพราะการที่ได้ใช้ให้เช่นนั้น แม้กระทั่งบุคคลภายนอกจะเป็นเจ้าของทรัพย์หรือมีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น เว้นแต่สิทธิของบุคคลภายนอกเช่นนั้นจะเป็นที่รู้อยู่แก่ตนหรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน"
6. ค่าสินไหมทดแทนกรณีทำให้ตาย
-ม.443 "ในกรณีที่ทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย
ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย
ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"
-ตัวอย่างที่เรียกไม่ได้ เช่น ค่าสูญเสียบุตร , ค่าเศร้าโศกเสียใจและผิดหวัง , ค่าชอบช้ำระกำใจ , ค่าวิปโยคโสมนัส , ค่าว้าเหว่ , ค่าขาดความอบอุ่น
6.1) ค่าปลงศพ ม.443 วรรคหนึ่ง
-การจัดการศพตามประเพณี หีบศพ ห่อศพ ฉีดยาป้องกันศพเน่า ค่าเช่าเมรุเผาศพ สวดศพ
-ผู้มีสิทธิเรียกค่าปลงศพ คือ ทายาทผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการศพตามม.1649 ส่วนผู้จัดการมรดกที่จะมีอำนาจและหน้าที่จัดการทำศพได้จะต้องเป็นผู้จัดการมรดกที่ผู้ตายได้ตั้งไว้
-โดยปกติถูกทำละเมิดถึงตาย ทายาทมักจัดการศพไปก่อน ก็มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มาฟ้องเรียกฐานละเมิดภายหลัง ภายใน 1 ปี เมื่อจัดการไปแล้ว ค่าปลงศพใช้จ่ายไปเท่าไรก็เรียกจากผู้ทำละเมิด แต่ค่าปลงศพเรียกล่วงหน้าได้
-ฎ.352/2529 กรณีมีผู้ช่วยค่าปลงศพ มาช่วยทำบุญ ก็ไม่ตัดสิทธิทายาทที่จะฟ้องเรียกค่าปลงศพจากผู้ทำละเมิด
-ค่าปลงศพต้องเรียกตามฐานะและตามสมควร
-ฎ.533/2506 ต้องพิเคราะห์ตามฐานานุรูปของผู้ตาย มิใช่ว่าถ้ามีการใช้จ่ายเงินทำศพตามประเพณีเป็นจำนวนเท่าใดแล้ว ผู้ทำละเมิดจะต้องรับผิดทั้งหมด
-ฎ.1648/2509 ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็น ต้องพิจารณาตามสมควรตามความจำเป็น และตามฐานะของผู้ตายและบิดามารดา ทั้งต้องพิจารณาถึงประเพณีการทำศพตามลัทธินิยมประกอบด้วย และต้องไม่ใช่รายการที่ฟุ่มเฟือยเกินไป
-ถ้าผู้ทำละเมิดช่วยค่าทำศพโดยไม่ยอมรับผิด จะมีลักษณะเป็นการช่วยทำบุญ ไม่ถือเป็นการจ่ายค่าปลงศพที่เรียกว่าเป็นค่าสินไหมทดแทน
-ผู้ทำละเมิดมีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของค่าปลงศพ แต่ไม่มีหน้าที่ไปจัดการศพเพราะอำนาจการจัดการศพอยู่ที่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกตามม.1649
6.2) ค่าใช้จ่ายอันจำเป็น ม.443 วรรคหนึ่ง
-ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นนอกจากค่าปลงศพ เช่น ค่าพาหนะที่บิดามารดาและญาติของคนตายเดินทางไปจัดการศพ ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็น
-แต่ถ้าญาติไปร่วมงานศพ ไม่ใช่ไปช่วยจัดการศพ ไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็น
6.3) ค่ารักษาพยาบาลก่อนตาย ม.443 วรรคสอง
-ทายาทฟ้องเรียกจากผู้ทำละเมิดได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ตายจะมีสิทธิเบิกจากหน่วยงานของตนหรือไม่ เรียกได้เต็มจำนวน
6.4) ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ก่อนตาย ม.443 วรรคสอง
-ผู้ถูกทำละเมิดได้รับบาดเจ็บ ไปทำงานไม่ได้ รักษาตัวต่อไปช่วงหนึ่งก็ตาย ช่วงที่ยังไม่ตายไปทำงานไม่ได้ คือค่าขาดประโยชน์ ในส่วนนี้ทายาทฟ้องได้เพราะถือว่าเป็นมรดก (ฎ.4352/2550)
6.5) ค่าขาดไร้อุปการะ ม.443 วรรคสาม
-ไม่ต้องคำนึงว่าความเป็นจริงจะมีการอุปการะหรือไม่
-คนที่จะมีสิทธิได้รับอุปการะเลี้ยงดู จะต้องเป็นสิทธิตามกฎหมาย เช่น สามี-ภริยา ม.1461 , บุตร-บิดามารดา ม.1564 , 1563
-ไม่รวมบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว
6.6) ค่าขาดแรงงาน ม.444
-ก่อนเกิดเหตุผู้ถูกละเมิดมีหน้าที่ต้องทำการงานให้แก่บุคคลอื่น พอเกิดเหตุก็ทำให้บุคคลภายนอกขาดแรงงานจากผู้ถูกละเมิด ถือว่าทำให้บุคคลภายนอกเสียหายเช่นกัน
-บุคคลภายนอก
--บุคคลในครัวเรือน สามีภริยามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน หากภริยาซึ่งทำหน้าที่ในครัวเรือนถูกทำละเมิดถึงตาย สามีฟ้องเรียกค่าขาดแรงงานในครัวเรือนได้
--บุคคลนอกครัวเรือน เช่น ลูกจ้างในโรงงาน มีหน้าที่ทำงานให้ตามสัญญา ถูกทำละเมิดต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 1 เดือน แล้วตาย นายจ้างต้องจ่ายเงินเดือนให้ นายจ้างก็ขาดแรงงานจากผู้ตาย เป็นเหตุให้นายจ้างขาดประโยชน์
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น