สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายตัวแทน ประกันภัย ตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด (ครั้งที่ 14)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายตัวแทน ประกันภัย ตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด (ครั้งที่ 14)
อาจารย์ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม 2568
**********
1. บทบัญญัติคุ้มครองธนาคารผู้ใช้เงินตามเช็ค มีอะไรบ้าง ?
-กรณีที่หนึ่ง ธนาคารใช้เงินตามเช็คชีดคร่อม ม.997 วรรคสาม "แต่หากเช็คใดเขานำยื่นเพื่อให้ใช้เงิน และเมื่อยื่นไม่ปรากฏว่าเป็นเช็คขีดคร่อมก็ดี หรือไม่ปรากฏว่ามีรอยขีดคร่อมอันได้ลบล้างหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเป็นประการอื่นนอกจากที่อนุญาตไว้โดยกฎหมายก็ดี เช็คเช่นนี้ถ้าธนาคารใดใช้เงินไปโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ ท่านว่าธนาคารนั้นไม่ต้องรับผิดหรือต้องมีหน้าที่รับใช้เงินอย่างใด ๆ"
-กรณีที่สอง ธนาคารใช้เงินตามเช็คไปตามทางค้าปกติและปราศจากประมาทเลินเล่อ ม.1009 "ถ้ามีผู้นำตั๋วเงินชนิดจะพึงใช้เงินตามเขาสั่งเมื่อทวงถามมาเบิกต่อธนาคารใด และธนาคารนั้นได้ใช้เงินให้ไปตามทางค้าปกติโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อไซร้ ท่านว่าธนาคารไม่มีหน้าที่จะต้องนำสืบว่าการสลักหลังของผู้รับเงิน หรือการสลักหลังในภายหลังรายใด ๆ ได้ทำไปด้วยอาศัยรับมอบอำนาจแต่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของคำสลักหลังนั้น และถึงแม้ว่ารายการสลักหลังนั้นจะเป็นสลักหลังปลอมหรือปราศจากอำนาจก็ตาม ท่านให้ถือว่าธนาคารได้ใช้เงินไปถูกระเบียบ"
-กรณีที่สาม เกิดขึ้นโดยแนวคำพิพากษาศาลฎีกา (หลายปีมาแล้ว) ธนาคารใช้เงินตามเช็คไปโดยสุจริตปราศจากประมาทเลินเล่อ ซึ่งเป็นเช็คที่มีการแก้ไขจำนวนเงินในเช็ค แต่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ประจักษ์ จึงนำม.1007 วรรคสอง มาปรับใช้กับธนาคาร "แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความเดิมแห่งตั๋วนั้นก็ได้"
-กรณีที่สี่ เกิดขึ้นโดยแนวคำพิพากษาศาลฎีกา (ไม่นานมานี้) คือ กรณีมีการแก้ไขชื่อผู้รับเงินตามเช็ค (การแก้ไขชื่อผู้รับเงิน ถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ) ศาลนำม.1009 มาปรับใช้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ประจักษ์ ธนาคารสุจริตปราศจากประมาทเลินเล่อ
2. ม.1011 "เมื่อผู้ทรงตั๋วเงินซึ่งหายหรือถูกลักทราบเหตุแล้ว ในทันใดนั้นต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้ออกตั๋วเงิน ผู้จ่าย ผู้สมอ้างยามประสงค์ ผู้รับรองเพื่อแก้หน้าและผู้รับอาวัล ตามแต่มี เพื่อให้บอกปัดไม่ใช้เงินตามตั๋วเงินนั้น"
-กฎหมายบังคับเป็นหน้าที่ของผู้ทรงต้องบอกกล่าวในทันใดนั้นเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน
-ม.904 ผู้ทรง ต้องมีตั๋วเงินไว้ในครอบครอง เมื่อผู้ทรงไม่มีตั๋วในครอบครอง ผู้จ่ายจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผู้ทรงหรือไม่ ซึ่ง ม.1011 บัญญัติว่า
"ถ้าตั๋วเงินหายไปแต่ก่อนเวลาล่วงเลยกำหนดใช้เงิน ท่านว่าบุคคลซึ่งได้เป็นผู้ทรงตั๋วเงินนั้นจะร้องขอไปยังผู้สั่งจ่ายให้ ๆ ตั๋วเงินเป็นเนื้อความเดียวกันแก่ตนใหม่อีกฉบับหนึ่งก็ได้ และในการนี้ถ้าเขาประสงค์ก็วางประกันให้ไว้แก่ผู้สั่งจ่าย เพื่อไว้ทดแทนที่เขาหากจะต้องเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดในกรณีที่ตั๋วเงินซึ่งว่าหายนั้นจะกลับหาได้
อนึ่ง ผู้สั่งจ่ายรับคำขอร้องดังว่ามานั้นแล้ว หากบอกปัดไม่ยอมให้ตั๋วเงินคู่ฉบับเช่นนั้น อาจจะถูกบังคับให้ออกให้ก็ได้"
-กฎหมายบังคับเป็นหน้าที่ของผู้ทรงต้องบอกกล่าวในทันใดนั้นเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน
-ม.904 ผู้ทรง ต้องมีตั๋วเงินไว้ในครอบครอง เมื่อผู้ทรงไม่มีตั๋วในครอบครอง ผู้จ่ายจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผู้ทรงหรือไม่ ซึ่ง ม.1011 บัญญัติว่า
"ถ้าตั๋วเงินหายไปแต่ก่อนเวลาล่วงเลยกำหนดใช้เงิน ท่านว่าบุคคลซึ่งได้เป็นผู้ทรงตั๋วเงินนั้นจะร้องขอไปยังผู้สั่งจ่ายให้ ๆ ตั๋วเงินเป็นเนื้อความเดียวกันแก่ตนใหม่อีกฉบับหนึ่งก็ได้ และในการนี้ถ้าเขาประสงค์ก็วางประกันให้ไว้แก่ผู้สั่งจ่าย เพื่อไว้ทดแทนที่เขาหากจะต้องเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดในกรณีที่ตั๋วเงินซึ่งว่าหายนั้นจะกลับหาได้
อนึ่ง ผู้สั่งจ่ายรับคำขอร้องดังว่ามานั้นแล้ว หากบอกปัดไม่ยอมให้ตั๋วเงินคู่ฉบับเช่นนั้น อาจจะถูกบังคับให้ออกให้ก็ได้"
3. อายุความ กำหนดเวลาที่กฎหมายบัญญัติให้เจ้าหนี้จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องฟ้องลูกหนี้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้น สิทธิเรียกร้องเป็นอันขาดอายุความ หนี้ที่ขาดอายุความ หนี้ไม่ระงับ หนี้ยังอยู่ การชำระหนี้ที่ขาดอายุความ ก็เป็นการชำระหนี้โดยชอบ ลูกหนี้จะขอคืนไม่ได้ตามม.408 บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ไม่มีสิทธิจะได้รับคืนทรัพย์ คือ ..(2) บุคคลผู้ชำระหนี้ซึ่งขาดอายุความแล้ว
-ม.193/10 สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้
-ม.193/29 เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้
4. อายุความตั๋วเงิน ม.1001-1005
4.1) ม.1001 ในคดีฟ้องผู้รับรองตั๋วแลกเงิน (การรับรองตั๋วแลกเงินม.931) ก็ดี ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินก็ดี ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาสามปีนับแต่วันตั๋วนั้น ๆ ถึงกำหนดใช้เงิน
-ตั๋วถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นไปตามม.913
-ถ้ามีการใช้เงิน หนี้ระงับม.321 วรรคสาม
-ถ้าไม่มีการใช้เงินตามตั๋วเงิน เช่น ตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน 9ก.ค.2565 วันสุดท้ายที่จะฟ้อง 9ก.ค.2568
-เดิม ฎ.3597/2549 ม.1001 ไม่ได้กำหนดว่าผู้ฟ้องคือผู้ใดอย่างเช่นม.1002 ผู้รับอาวัลฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีอายความ 3 ปี ตามม.1001 ไม่ใช่ 10 ปี แต่อาจารย์ที่บรรยายเนติฯ ได้มีหมายเหตุว่า ม.940 วรรคสุดท้าย เมื่อผู้รับอาวัลได้ใช้เงินไปตามตั๋วแลกเงินแล้ว ย่อมได้สิทธิในอันจะไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลซึ่งตนได้ประกันไว้ กับทั้งบุคคลทั้งหลายผู้รับผิดแทนตัวผู้นั้น ดังนั้นสิทธิของผู้รับอาวัลจะไปฟ้องไล่เบี้ยได้ ผู้รับอาวัลต้องเสียหายก่อน ต้องใช้เงินไปตามตั๋วเงินก่อน ถ้าตราบใดยังไม่ได้ใช้เงิน จะฟ้องไล่เบี้ยไม่ได้ และถ้าใช้อายุความ 3 ปี นับแต่ตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน ก็จะคาดเคลื่อนไม่แน่นอน เช่น ผู้รับอาวัลใช้เงินไปเมื่อตั๋วถึงกำหนดใช้เงินแล้ว 1 ปี ก็ต้องฟ้องภายใน 2 ปี ที่เหลือ หรือใช้เงินไปเมื่อตั๋วถึงกำหนดแล้ว 2 ปี 8 เดือน ก็ต้องฟ้องภายใน 4 เดือน ซึ่งเป็นกำหนดไม่แน่นอน ต่อมาในปี 2550 มีฎีกาวินิจฉัยว่า
-ฎ.815/2550 ผู้รับอาวัลจะไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลซึ่งตนได้ประกันไว้ตามม.940 วรรคสาม ประกอบม.989 เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปี ตามม.193/30
4.2) ม.1002 ในคดีที่ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สลักหลังและผู้สั่งจ่าย ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันที่ได้ลงในคำคัดค้านซึ่งได้ทำขึ้นภายในเวลาอันถูกต้องตามกำหนด หรือนับแต่วันตั๋วเงินถึงกำหนด ในกรณีที่มีข้อกำหนดไว้ว่า "ไม่จำต้องมีคำคัดค้าน"
-ม.1002 ผู้ทรงตั๋วเงิน ฟ้องผู้สลักหลังตั๋วเงิน (ทั้ง 3 ประเภท) และฟ้องผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงิน ผู้สั่งจ่ายเช็คเท่านั้น (ฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ปรับเข้าม.1001)
-เนื้อความตามตัวบท จะใช้ตั๋วแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน
--กรณีเช็ค* ผู้ทรงฟ้องผู้สั่งจ่าย ผู้สลักหลังเช็ค ต้องปรับตัวบทเป็น "ในคดีที่ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สลักหลังและผู้สั่งจ่าย ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันตั๋วเงินถึงกำหนด" คือ วันที่ที่ลงในเช็ควันไหน 1 ปี นับแต่วันนั้น แต่เรื่องดอกเบี้ยผิดนัดตามเช็ค จะคิดตั้งแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการใช้เงิน
--กรณีตั๋วแลกเงิน มี 2 กรณี
---กรณีผู้ทรงต้องทำคำคัดค้าน ปรับตัวบทเป็น "ในคดีที่ผู้ทรงตั๋วเงิน ฟ้องผู้สลักหลังและผู้สั่งจ่าย ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันที่ได้ลงในคำคัดค้านซึ่งได้ทำขึ้นภายในเวลาอันถูกต้องตามกำหนด" ปกติเมื่อผู้จ่ายไม่ใช้เงินตามตั๋วแลกเงิน ผู้ทรงจะฟ้องทันทีไม่ได้ ผู้ทรงจะต้องทำคำคัดค้านก่อนตามม.960 "การที่ตั๋วแลกเงินขาดรับรองหรือขาดใช้เงินนั้น ต้องทำให้เป็นหลักฐานตามแบบระเบียบด้วยเอกสารฉบับหนึ่ง เรียกว่าคำคัดค้าน , ม.960 วรรคสอง คำคัดค้านการไม่ใช้เงินต้องทำในวันซึ่งจะพึงใช้เงินตามตั๋วนั้น หรือวันใดวันหนึ่งภายในสามวันต่อแต่นั้นไป..."
---กรณีผู้ทรงไม่ต้องทำคำคัดค้าน ปรับตัวบทเป็น "ในคดีที่ผู้ทรงตั๋วเงิน ฟ้องผู้สลักหลังและผู้สั่งจ่าย ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันที่ตั๋วเงินถึงกำหนดในกรณีที่มีข้อกำหนดไว้ว่า "ไม่จำต้องมีคำคัดค้าน"
คราวหน้าเป็นครั้งสุดท้าย จะมาต่อ ม.967+1003 บุคคลทุกคนที่ลงลายมือชื่อในตั๋วเงิน ไม่ว่าในฐานะไหน ต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง โดยมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม แต่ในระหว่างลูกหนี้ร่วมด้วยกันเอง ความรับผิดเป็นไปตามลำดับ คนที่ลงลายมือชื่อในตั๋วเงินลำดับก่อน ถือว่าเป็นลูกหนี้ของคนที่ลงลายมือชื่อในลำดับหลัง เช่น ตั๋วเงินมีคนลงลายมือชื่อ 4 คน คนที่ 4 ใช้เงินให้ผู้ทรงแล้ว ไล่เบี้ยจาก 1 , 2 , 3 ได้ หรือหาก 3 ใช้เงินให้ผู้ทรงแล้ว ไล่เบี้ยจาก 1 , 2 ได้
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น