บทความ

วาระการดำรงตำแหน่ง EP.1 การนับวาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 753/2562)

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ (กทศ.) ที่มาจากการเสนอชื่อจากองค์การคนพิการแต่ละประเภทได้ดำรงตำแหน่งจนครบวาระหนึ่งแล้ว และวาระต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกวาระหนึ่งต่อเนื่องกับวาระแรก โดยมีที่มาจากการเสนอชื่อจากองค์การคนพิการอีกองค์การหนึ่ง หรือเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คัดเลือกจากการรับสมัครทั่วไป ไม่ซ้ำที่มากันกับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในวาระหนึ่ง จะถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งสองวาระติดต่อกันหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ได้กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหาร กทศ. ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการต่าง ๆ จำนวน 10 คน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการแต่งตั้งจำนวน 11 คน โดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องเป็นผู้แทนจากองค์การคนพิการแต่ละประเภทอย่างน้อย 7 คน ประกอบกับมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติมาตรา 13 มาใช้บังคับกับการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการบริหาร กทศ. โดยอนุโลม เมื่อ

หนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน นำมาฟ้องคดีล้มละลายได้ ไม่จำต้องมีคำพิพากษากำหนดจำนวนหนี้ให้แน่นอน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2567)

หนี้ตามฟ้อง เป็นหนี้ค่าเงินยืมเพื่อทดรองจ่ายในกิจกรรมส่งเสริมการขายและค่าสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อจากโจทก์ เป็นหนี้ที่สามารถกำหนดจำนวนได้แน่นอน และนำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลายได้ โดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีแพ่งหรือให้ศาลในคดีแพ่งมีคำพิพากษาก่อน  พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน มิได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลจะต้องมีคำพิพากษากำหนดจำนวนให้แน่นอนเสียก่อน  จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในมูลหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้  โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามมาตรา 8 (9)  จำเลยมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว พฤติการณ์ของจำเลยที่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ ทั้งยังจดทะเบียนเลิกบริษัท กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่มา - คำ

"ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ต้องตีความโดยเคร่งครัด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2546)

คำว่า  "ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ต้องตีความโดยเคร่งครัด ซึ่งความหมายของข้อความที่ว่า ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลนั้น มิได้หมายถึงเฉพาะผู้ที่มีความสัมพันธ์ในฐานะครูหรืออาจารย์ ซึ่งมีหน้าที่สอนศิษย์เท่านั้น แต่ครูหรืออาจารย์นั้นต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแลปกป้องรักษาตัวศิษย์และกระทำความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติต่อศิษย์ในระหว่างมีหน้าที่ดังกล่าวด้วย จำเลยเป็นเพียงครูหรืออาจารย์สอนกวดวิชาตามที่มีผู้ไปสมัครเรียนตามความสมัครใจ และเมื่อโจทก์ร่วมที่ 2 สมัครเรียนชำระค่าสมัครแล้วจะไปเรียนหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสนใจที่จะใฝ่หาความรู้ แสดงว่า จำเลยไม่มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลปกป้องรักษาโจทก์ร่วมที่ 2 ตลอดระยะเวลาที่ทำการสอน ดังนั้น แม้จำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ 2 ก็มิใช่กระทำต่อศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลย อันจะเป็นผลให้จำเลยต้องรับโทษหนักขึ้น เมื่อการกระทำของจำเลยไม่ต้องด้วยกรณีที่ต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา 285 หากเป็นเพียงความผิดตามมาตรา 276 วรรคแรก และมิได้เกิดต่อหน้าธารกำนัล ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2 รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย จึงเป็นความผ

การสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และใช้สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 489/2567)

กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้มีหนังสือหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด กรณีมีการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หลายประเด็น หนึ่งในประเด็นดังกล่าวได้หารือว่า กรมฯ จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดและใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดเมื่อพ้น 10 ปีนับแต่วันทำละเมิดได้หรือไม่ หากไม่อาจดำเนินการได้ กรมฯ จะสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกับบุคคลที่ปล่อยปละละเลยให้การใช้สิทธิเรียกร้องขาดอายุความได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เห็นว่า การสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบว่าเจ้าหน้าที่ได้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐหรือไม่ เป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หากเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ และเจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนเท่า

บทยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยรถยนต์ ต้องตีความโดยเคร่งครัด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2567)

คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคนรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 โจทก์ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลย มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 และสิ้นสุดวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 โดยกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อตกลงว่าด้วยกรณีรถยนต์สูญหายหรือไฟไหม้ ผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ 150,000 บาท  เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565 เวลา 10.10 นาฬิกา โจทก์ขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยแล่นไปจอดที่บริเวณหน้าร้านขายแบตเตอรี่ทุ่งสง 99 แล้วมีคนร้ายลักรถยนต์คันดังกล่าวไป ต่อมาวันที่ 26 มกราคม 2565 เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งว่าพบรถยนต์ที่ถูกคนร้ายลักไปถูกเพลิงไหม้ที่ริมถนนสายเพชรเกษมฝั่งขาออกไปจังหวัดตรัง เยื้องโรงเรียนบ้านเหนือ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ โจทก์แจ้งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยปฏิเสธอ้างว่าเหตุที่รถยนต์สูญหายเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ศาลเห็นว่า การที่โจทก์ขับรถยนต์ที่ทำประกันภัยไว้กับจำเลยแล่นไปจอดริมถนนบริเวณหน้าร้านขายแบตเตอรี่ทุ่งสง 99 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสาธา

จำเลยไม่มาศาล ในกระบวนพิจารณาคดีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5217/2566)

จำเลยทั้งสามรับทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 โดยชอบแล้ว จำเลยทั้งสามต้องมาศาลตามกำหนดนัด แต่จำเลยทั้งสามไม่มาศาลโดยไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี  เมื่อทนายโจทก์แถลงว่ายังไม่ได้รับสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ขอหมายเรียกจากธนาคาร ท. และเป็นเอกสารสำคัญ จึงขอเลื่อนคดี  ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว อนุญาตให้เลื่อนคดีไปพิจารณาวันที่ 26 สิงหาคม 2564 เช่นนี้ หากจำเลยทั้งสามมาศาลในวันนัด จำเลยทั้งสามย่อมทราบวันเวลาที่ศาลเลื่อนพิจารณาออกไป ซึ่งตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 15 วรรคสอง กำหนดว่า ในกรณีที่คู่ความไม่มาศาลในนัดใดไม่ว่าจะได้รับอนุญาตจากศาลหรือไม่ ให้ถือว่าคู่ความนั้นได้ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในนัดนั้นแล้ว ดังนี้กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสามทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 26 สิงหาคม 2564 โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสามไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ที่ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณา แล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว  ในการพิจารณาคดีของศาลนั้น หากศาลเห็นว่าเพื่

เจ้าหนี้ไม่ได้เตือนให้ชำระเงิน ลูกหนี้ยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2567)

เงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยที่ 1 เป็นหนี้เงินอย่างหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดให้แก่โจทก์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว" โดยคำเตือนในกรณีนี้คือการทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับ และการทวงถามนั้นโจทก์จะต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เสียก่อน จึงจะถือว่าเป็นคำเตือนโดยชอบ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินตามที่โจทก์ทวงถามแล้วจึงจะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัด  เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนจากจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อจำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยที่ 2 พิจารณาแล้วมีมติยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์จึงนำคดีนี้มาฟ้อง  เมื่อ ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าโจทก์ได้กำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินทดแทนค่าบริการทางการ

การใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ฟ้องศาลยุติธรรม (คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 3/2567)

ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามบทนิยาม "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามบทนิยาม "หน่วยงานทางปกครอง" ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน  อย่างไรก็ตาม การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 ที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ได้แก่ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ถึงที่ 6 ทำการตรวจ ค้น รถ อ้างว่ารถยนต์ของผู้ฟ้องคดีที่ 2 ขนไม้ผิดกฎหมาย พร้อมทั้ง ยึด รถยนต์ของผู้ฟ้องคดีที่ 2 และไม้ทั้ง 9 ท่อน หรือการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มอบหมายให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ลงบันทึกประจำวันต่อพนักงานสอบสวนเพื่อเตรียมการดำเนินคดี กับผู้ฟ้องคดีทั้งสองว่ากระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษทางอาญา หรือการ ไม่ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ไม่ทำสำนวนอายัดหรือดำเนินคดี จงใจกระทำละเมิดเพราะไม้พิพาทเป็นไม้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย นั้น ล้วน เป็นขั้นตอนของการใช้อ

การไฟฟ้าไม่ดูแลรักษาความปลอดภัยหม้อแปลงไฟฟ้า ฟ้องศาลปกครอง (คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 14/2567)

การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามนัยบทนิยาม "หน่วยงานทางปกครอง" ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มีวัตถุประสงค์ในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า และมีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงอำนาจจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สิน รวมทั้งในการดำเนินกิจการของ กฟน. ให้คำนึงถึงความปลอดภัยประโยชน์ของรัฐและประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 มาตรา 13 (6) และมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501  เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้ บริษัทประกันภัย (ผู้ฟ้องคดี) อ้างว่า กฟน. (ผู้ถูกฟ้องคดี) ละเลยไม่ดูแลจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาหม้อแปลงไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพดีและปลอดภัยต่อทรัพย์สินของประชาชน เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของนางสาว ก. ที่ผู้ฟ้องคดีได้รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย  โดยผู้ฟ้องคดีได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นางสาว ก. ผู้เอาประกันภัยแล้ว ผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้รับประกันภั

ร่าง พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. ....

คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการ " ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. ...." เมื่อวันที่  2 เมษายน 2567  โดยมีประเด็นสำคัญที่ได้ปรับปรุงจาก พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ดังนี้ แก้ไขชื่อกฎหมายใหม่ เป็น พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. .... เพื่อขยายขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายให้ไปถึงการให้บริการต่าง ๆ แก่ประชาชน โดยมีหลักการสำคัญ 12 ประการ ที่ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้รับการบริการที่รวดเร็วขึ้น (Faster) ง่ายขึ้น (Easier) ค่าใช้จ่ายที่ถูกลง (Cheaper) และมีความทันสมัย (Smarter) ดังนี้ 1. มีความสะดวกมากขึ้น  (Faster) (1) การขยายขอบเขตการดำเนินการนอกเหนือจากงานบริการที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติอนุญาต เพื่อให้ครอบคลุมงานบริการที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับประชาชน (2) การให้ผู้อนุญาตมีการทบทวนกฎหมายทุก 5 ปี ในประเด็นต่าง ๆ เช่น การปรับเปลี่ยนการอนุญาตเปลี่ยนเป็นจดแจ้ง การปรับเปลี่ยนการพิจารณาอนุญาตโดยคณะกรรมการเป็นหัวหน้าหน่วยงาน รวมทั้งให้มีการทบทวนคู่ม

ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้นำสืบไม่ได้ความว่ามีการวางแผนล่วงหน้า (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2567)

ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า  เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2548 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา ขณะที่จำเลยกำลังเล่นตะกร้ออยู่หน้าบ้านนางเล็ก มารดาจำเลย นายจำรัส ผู้เสียหายที่ 1 และนายสุทัศน์ ผู้เสียหายที่ 2 ไปหาจำเลยที่บ้านที่เกิดเหตุ เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายทั้งสองจึงเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุแล้วออกจากบ้านที่เกิดเหตุพร้อมอาวุธปืน จากนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 หลายนัด กระสุนปืนถูกบริเวณลำตัวผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและหมดสติไป  เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ฟื้นได้สติและร้องขอน้ำดื่ม พวกของจำเลยเข้าไปรุมกระทืบ เตะ และต่อยผู้เสียหายที่ 1 จนหมดสติ ต่อมาจำเลยกับพวกช่วยกันใช้เชือกมัดมือมัดเท้าของผู้เสียหายที่ 1 แล้วนำขึ้นท้ายรถกระบะขับออกจากบ้านที่เกิดเหตุพาผู้เสียหายที่ 1 ไปยังคลองชลประทาน 2 ขวา แล้วจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงแก่ความตาย  ต่อมาวันที่ 4 มีนาคม 2548 มีผู้พบศพผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในคลองชลประทาน 2 ขวา  ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้เสียหายที่ 1 เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่   ศาลฎี

แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ พม. ตามกฎหมายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 มาตรา 45 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย และมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามกฎหมายนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ออก ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยยกเลิกประกาศแต่งตั้งฉบับเดิม และแต่งตั้งข้าราชการในสังกัด พม. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ดังต่อไปนี้ (1) ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (2) รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (3) ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (4) อธิบดีกรมส่งเสริมและพั

ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลาย แต่ศาลพิจารณาได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4050/2566)

คดีนี้สืบเนื่องจากเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 7788/2541 พิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2541 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 มายื่นคำขอรับชำระหนี้  ศาลล้มละลายกลาง เห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสามเป็นคดีล้มละลายหรือมีเหตุอื่นใดอันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้  เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า เจ้าหนี้นำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบดีอยู่แล้วนั้น  ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลาย เห็นว่า ตามรายงานความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในเรื่องคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาด วันที่ 23 เมษายน 2552 เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์นำมูลหนี

ทนายความโจทก์มีสิทธิขอคัดข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลของจำเลยหรือไม่

เรื่องนี้สืบเนื่องมาจาก ทนายความซึ่งเป็นตัวแทนของฝ่ายโจทก์ มาขอคัดใบเปลี่ยนชื่อตัว และใบเปลี่ยนชื่อสกุลของจำเลยต่ออำเภอธัญบุรี โดยทนายความโจทก์ได้ยื่นใบคำฟ้อง และใบแต่งทนายความ เพื่อแสดงว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียมาขอคัดเอกสารดังกล่าว เพื่อจะนำไปใช้ดำเนินคดี อำเภอธัญบุรีได้ขอหารือต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ รวม 4 ประเด็น โดยมีประเด็นสำคัญว่า ทนายความเป็นผู้มีส่วนได้เสียสามารถขอคัดใบเปลี่ยนชื่อ และใบเปลี่ยนชื่อสกุลของจำเลยหรือไม่  คณะอนุกรรมการตอบข้อหารือตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ ในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการพิจารณาแล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 เป็นกฎหมายที่ให้สิทธิแก่ประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าสารเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐ โดยกำหนดให้บุคคลไม่ว่าจะมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม ย่อมมีสิทธิขอตรวจดู ขอสำเนา หรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถุกต้องของข้อมูลข่าวสารของราชการได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา 9 วรรคสาม ประกอบมาตรา 11 วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น ทนายความจึงเป็นผู้มีสิทธิยื่นคำขอคัดใบเปลี่ยนชื่อ และใบเปลี่ยนชื่อสกุ

ขอข้อมูลข่าวสารมากหรือบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร

เรื่องนี้สืบเนื่องมาจาก กรม ป. ได้มีหนังสือหารือต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ กรณีมีผู้ร้องขอข้อมูลจำนวนมาก และหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเกี่ยวกับการขอข้อมูลจำนวนมากหรือบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะอนุกรรมการตอบข้อหารือตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเกี่ยวกับการขอข้อมูลจำนวนมากหรือบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร นั้น มาตรา 11 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ได้กำหนดว่า "...ให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบจัดหาข้อมูลข่าวสารนั้นให้แก่ผู้ร้องภายในเวลาอันสมควร เว้นแต่ผู้นั้นขอจำนวนมากหรือบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร"  การขอข้อมูลเป็นจำนวนมาก หมายถึง การขอข้อมูลข่าวสารที่มีจำนวนมากเกินความจำเป็นในการนำไปใช้ประโยชน์ของผู้ร้องขอ และเป็นภาระอย่างมากแก่เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการจัดหาข้อมูลข่าวสารดังกล่าว ส่วนกรณี การขอบ่อยครั้ง หมายถึง กรณีการขอข้อมูลข่าวสารอย่างเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก  สำหรับการพิจารณาว่าเป็นก

ธนาคารหน่วยกิต (ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการอาชีวศึกษา)

ธนาคารหน่วยกิตระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการอาชีวศึกษา เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนและประชาชนโดยไม่จำกัดอายุ สามารถนำผลการเรียนหรือผลลัพธ์การเรียนรู้ มาสะสมเทียบโอนและใช้ประโยชน์ในการเพิ่มคุณวุฒิการทำงาน การศึกษาต่อ เพิ่มและพัฒนาทักษะ ยกระดับวิชาชีพ ตลอดจนสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีรายละเอียดตาม ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง แนวทางการดำเนินงานธนาคารหน่วยกิตระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2567 (ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป) ดังนี้ 1. คำจำกัดความ   1.1 ธนาคารหน่วยกิต หมายความว่า ระบบทะเบียนสะสมหน่วยกิตและกลไกการเทียบโอนผลการเรียนที่ได้จากการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ หรือการศึกษาตามอัธยาศัย หรือผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ได้จากการศึกษา การฝึกอบรม การรับรองมาตรฐานอาชีพ หรือการสะสมประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกปฏิบัติหรือการเรียนรู้จริงในที่ทำงานระหว่างการศึกษาหรือการประกอบอาชีพ และสามารถเทียบโอนหน่วยกิต ระหว่างสถานศึกษาได้   1.2 หน่วยกิต หมายความว่า หน่วยที่แสดงปริมาณของผลการเรียนที่ได้จากการศึกษา หรือผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ได้จากการศึกษา การฝึก

บทบังคับให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ พร้อมข้อสังเกต (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 17/2566)

คดีนี้มีการโต้แย้งว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 100 วรรคหนึ่ง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง และมาตรา 29 วรรคสอง เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวมีผลให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนถูกบังคับว่า หากไม่ดำเนินการลงโทษตามมาตรา 98 จะถือว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยไม่มีอิสระในการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าข้าราชการในสังกัดมีความผิดทางวินัยหรือไม่ ซึ่งทำให้ข้าราชการที่ถูกวินิจฉัยฐานความผิดจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้รับการพิจารณาวินจิฉัยและลงโทษด้วยหลักคุณธรรมจากผู้บังคับบัญชาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 (กฎหมายเดิม) เช่นเดียวกับข้าราชการทั่วไป ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว เห็นว่าบทบัญญัติมาตรา 100 วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดของผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนหรือผู้ใดที่ไม่ดำเนินการตามมาตรา 98 โดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการพิจารณาโทษทางวินัยตามมาตรา 98 ให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนต้องดำเนินการตามมติของคณะกรรมการ

ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครอง (โฉนดที่ดิน) เป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม (คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 17/2567)

คดีนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชน ยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 1 เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนราธิวาส สาขาสุไหงปาดี ที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542  ต่อมาศาลมีคำสั่งเรียกผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ซึ่งเป็นเอกชนเข้ามาในคดี อ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ออกโฉนดที่ดินให้แก่บิดาของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับที่ดินตามหลักฐาน น.ส. 3 ก. ของผู้ฟ้องคดี  โดยมี คำขอ ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวและให้คืนที่ดินส่วนที่ขาดให้ครบถ้วน อันมีลักษณะเป็นการตั้งรูปเรื่องการฟ้องคดีเป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย   แต่ เหตุแห่งการขอ ให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหลักฐาน น.ส. 3 ก. แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ออกโฉนดที่ดินพิพาท ซึ่งปัจจุบันมีชื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีบางส่วน  ลักษณะข้อพิพาท ในคดีนี้เป็นคดีที่ผู้ฟ้องคดีมุ่งหมายที่จะใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี กรณี

เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด

พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 กำหนดความหมายของ "เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด" หมายความว่า เด็กที่ประพฤติตนไม่สมควร เด็กที่ประกอบอาชีพหรือคบหาสมาคมกับบุคคลที่น่าจะชักนำไปในทางกระทำผิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดี หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานที่อันอาจชักนำไปในทางเสียหาย ทั้งนี้ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ออก  กฎกระทรวงกำหนดเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด พ.ศ. 2549 และ  กฎกระทรวงกำหนดเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2567 ดังนี้ ข้อ 1 เด็กที่ประพฤติตนไม่สมควร ได้แก่ เด็กที่มีพฤติกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้   (1) ประพฤติตนเกเรหรือข่มเหงรังแกผู้อื่น   (2) มั่วสุมในลักษณะที่ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น   (3) เล่นการพนันหรือมั่วสุมในวงการพนัน   (4) เสพสุรา สูบบุหรี่ เสพยาเสพติดให้โทษหรือของมึนเมาอย่างอื่น เข้าไปในสถานที่เฉพาะเพื่อการจำหน่ายหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์   (4/1) ใช้พืชกระท่อม กัญชา กัญชง หรือสารสกัดจากพืชดังกล่าว หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมหรือสารสกัดจากพืชนั้น เพื่อนันทนาการ (เพิ่มเต

การขออนุญาตฎีกา ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 12/2565)

คดีนี้สืบเนื่องมาจาก มีการโต้แย้งว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ที่กำหนดให้การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาโดยองค์คณะผู้พิพากษาที่ประธานศาลฎีกาแต่งตั้งตามมาตรา 248 ซึ่งการพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาได้ต้องเป็นไปตามมาตรา 249 เท่านั้น เป็นการจำกัดสิทธิการเข้าถึงความยุติธรรม การนำระบบอนุญาตมาใช้แทนระบบสิทธิ ทำให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ขาดการตรวจสอบและถ่วงดุลจากศาลสูง ขาดประสิทธิภาพ สร้างความไม่เป็นธรรม ความไม่สะดวก ทำให้ล่าช้า เสียค่าใช้จ่ายสูง จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลและสร้างภาระแก่ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ ขัดต่อหลักนิติธรรม เป็นการเลือกปฏิบัติในคดีแพ่ง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 มาตรา 68 และมาตรา 77 วรรคสาม และการแต่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษาโดยประธานศาลฎีกาแทนศาลฎีกาไม่สามารถกระทำได้ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 189 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 มาตรา 248 และมาตรา 249 กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไ