บทความ

นำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารในคดีล้มละลายได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9237/2539)

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยที่ 1 นำไปให้บุคคลภายนอกกู้ โดยคิดดอกเบี้ยอัตราระหว่างร้อยละ 7 ถึง 25 ต่อเดือน แล้วแบ่งผลประโยชน์ สัญญากู้เงินตามฟ้องโจทก์นำเงินมาให้จำเลยที่ 1 ปล่อยกู้เพียง 375,000 บาท แต่โจทก์นำดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 25 ต่อเดือน เป็นเวลา 1 ปี เป็นเงิน 1,125,000 บาท มารวมเข้ากับต้นเงินดังกล่าวเป็นเงิน 1,500,000 บาท แล้วให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงิน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันไว้เป็นหลักประกัน  จำเลยที่ 1 ได้ขายบ้านพร้อมที่ดินของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทนโจทก์ให้แก่นาง ส. ไปแล้วจำนวน 250,000 บาท ส่วนที่เหลือจำเลยที่ 1 ก็ชำระคืนให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว คำให้การของจำเลยทั้งสองดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมนำสืบพยานบุคคลหักล้างได้ว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย นอกจากนี้ การที่ห้ามนำสืบพยานบุคคลเพื่อให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร อันเป็นการตัดรอนมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวย่อมขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 อันเป็นกฎหมายพิเศษที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งกำหนดให้เ

ห้ามเปิดเผยประวัติการกระทำความผิดอาญาของเด็กหรือเยาวชน

พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 84 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิเด็กหรือเยาวชน ห้ามมิให้เปิดเผยหรือนำประวัติการกระทำความผิดอาญาของเด็กหรือเยาวชนไปพิจารณาให้เป็นผลร้ายหรือเป็นการเลือกปฏิบัติอันไม่เป็นธรรมแก่เด็กหรือเยาวชนนั้นไม่ว่าในทางใด ๆ เว้นแต่เป็นการใช้ประกอบดุลพินิจของศาลเพื่อกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน หากมีการฝ่าฝืนให้ศาลสั่งระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือเพิกถอนการกระทำนั้น และอาจกำหนดค่าเสียหายหรือบรรเทาผลร้ายหรือมีคำสั่งให้จัดการแก้ไขเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นตามที่เห็นสมควร และวรรคสอง บัญญัติว่า เด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดหรือเป็นจำเลยที่อยู่ในระหว่างการควบคุมดูแลของบุคคลหรือองค์การใด ๆ จะต้องได้รับการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ และส่งเสริมให้มีโอกาสกลับคืนสู่สังคม รวมทั้งได้รับการปฏิบัติด้วยมนุษยธรรมและเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากมีการแสวงหาประโยชน์ การกระทำอันมิชอบ การทรมาน การลงโทษ การปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือต่ำช้ารูปแบบอื่น หรือกระทำการใด ๆ ที่มิได้เป็นไปเพื่อฟื้นฟูร่าง

วาระการดำรงตำแหน่ง EP.4 คณะกรรมการตามกฎหมายเก่าและใหม่ชื่อเดียวกัน แต่องค์ประกอบและวาระการดำรงตำแหน่งต่างกัน (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 1112/2559)

คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เกี่ยวกับการนับวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม โดยกำหนดประเด็นวินิจฉัยว่า กรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม ตามพระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2522 วาระหนึ่ง ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 อีกวาระหนึ่ง จะถือว่ากรรมการนั้นมีวาระการดำรงตำแหน่งสองวาระติดต่อกันหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ได้บัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกำหนดมาตรการและกลไกต่าง ๆ ขึ้นใหม่ โดยมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม และมาตรา 8 ประกอบกับมาตรา 22 กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการ ดังกล่าวไว้ ซึ่งแตกต่างไปจากมาตรา 23 และมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.

วาระการดำรงตำแหน่ง EP.3 ลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 753/2562)

ประเด็นหารือ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ ที่มาจากการเสนอชื่อจากองค์การคนพิการแต่ละประเภทหรือที่คัดเลือกจากการรับสมัครทั่วไปได้ดำรงตำแหน่งจนครบวาระหนึ่งแล้ว และได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกครั้ง แต่ได้ลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ จะถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งสองวาระติดต่อกันหรือไม่ นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) พิจารณาแล้ว เห็นว่ามาตรา 13 ประกอบกับมาตรา 26 แห่ง พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 บัญญัติให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่ต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน โดยวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีความสำคัญว่า ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งหรือได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการในคราวใด ย่อมสามารถดำรงตำแหน่งนั้นได้ตามกำหนดเวลาสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติไว้ และผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งตามวาระไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งจนครบวาระหรือออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระก็ต้องถือว่าได้ดำรงตำแหน่งมาแล้วหนึ่งวาระ ด้วยเหตุนี้ กรณีที่ม

วาระการดำรงตำแหน่ง EP.2 การนับวาระของกรรมการชุดเดิมตามกฎหมายใหม่ (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 685/2564)

สถาบันวัคซีนแห่งชาติเดิมเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตาม พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2555 โดยมี "คณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติ" ซึ่งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ดำรงตำแหน่งครบวาระที่หนึ่งแล้วเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2560  และประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอีกเป็นวาระที่สอง โดยจะครบวาระที่สองในวันที่ 25 ธันวาคม 2564  ในระหว่างการดำรงตำแหน่งวาระที่สอง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ได้มีผลใช้บังคับ   สถาบันวัคซีนแห่งชาติ จึงหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า การนับวาระการดำรงตำแหน่งของประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2555 จะถือเป็นวาระแรกของการดำรงตำแหน่งตามพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 และจะสามารถดำรงตำแหน่งในวาระถัดไปได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 10) พิจารณาแล้ว เห็นว่าเมื่อพิจารณา มาตรา 50 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัต

แชร์ประสบการณ์ : กฎหมายแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด

รูปภาพ
ผมได้รับโอกาสสำคัญให้เป็นผู้แทนหน่วยงาน ในการประชุมคณะกรรมการการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ตาม พระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. 2561 ปัญหาเด็กและเยาวชนกระทำผิดถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อนและเชื่อมโยงกับสังคมทุกมิติ การแก้ไขปัญหาให้ได้ผลดีไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จากที่ผมได้ศึกษาพระราชบัญญัติดังกล่าว ผมคิดว่ากฎหมายนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนกระทำผิด และเป็นทางรอดของสังคมไทยได้เลย  ปัจจุบันผมกำลังสรุปเนื้อหาของกฎหมายเพื่อเผยแพร่ โดยหวังว่าจะมีส่วนช่วยสร้างการรับรู้ และการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายมากขึ้น รอติดตามกันด้วยนะครับ //ขอบพระคุณครับ

สิทธิได้รับค่าเช่าบ้านและสิทธินำหลักฐานค่าเช่าซื้อมาเบิกค่าเช่าบ้าน ย่อมระงับเมื่อทางราชการจัดที่พักให้ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 24/2567 (ประชุมใหญ่))

คดีนี้ผู้ฟ้องคดีรับราชการครั้งแรกที่โรงพยาบาลศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร และย้ายไปปฏิบัติราชการที่สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรง กระทรวงสาธารณสุข ต่อมาเดือนตุลาคม 2548 ได้โอนย้ายไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งเจ้าพนักงานสุขาภิบาล ระดับ 6 สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งไม่ได้รับการจัดที่พักอาศัย เนื่องจากที่พักอาศัยไม่ว่าง ผู้ฟ้องคดีจึงใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการมาตลอดจนถึงเดือนกันยายน 2552 ระหว่างนั้น ผู้ฟ้องคดีได้รับการเลื่อนระดับและตำแหน่งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนสาธารณสุข นักบริหารงานสาธารณสุข 7 ต่อมาเดือนตุลาคม 2552 ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำขออนุมัตินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อมาเบิกค่าเช่าบ้าน และได้รับอนุมัติจากนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ให้นำหลักฐานการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อมาเบิกค่าเช่าบ้านได้ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้มีหนังสือลงวันที่ 31 มีนาคม 2554 แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีเข้าพักอาศัยในบ้านพักขององค์การบริหารส่วนตำบลสำหรับข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งระดับ 7 ตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0808.2/ว 954 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2550 เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการส่วนท้องถิ่น

วาระการดำรงตำแหน่ง EP.1 การนับวาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 753/2562)

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ (กทศ.) ที่มาจากการเสนอชื่อจากองค์การคนพิการแต่ละประเภทได้ดำรงตำแหน่งจนครบวาระหนึ่งแล้ว และวาระต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกวาระหนึ่งต่อเนื่องกับวาระแรก โดยมีที่มาจากการเสนอชื่อจากองค์การคนพิการอีกองค์การหนึ่ง หรือเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คัดเลือกจากการรับสมัครทั่วไป ไม่ซ้ำที่มากันกับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในวาระหนึ่ง จะถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งสองวาระติดต่อกันหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ได้กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหาร กทศ. ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการต่าง ๆ จำนวน 10 คน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการแต่งตั้งจำนวน 11 คน โดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องเป็นผู้แทนจากองค์การคนพิการแต่ละประเภทอย่างน้อย 7 คน ประกอบกับมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติมาตรา 13 มาใช้บังคับกับการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการบริหาร กทศ. โดยอนุโลม เมื่อ

หนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน นำมาฟ้องคดีล้มละลายได้ ไม่จำต้องมีคำพิพากษากำหนดจำนวนหนี้ให้แน่นอน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2567)

หนี้ตามฟ้อง เป็นหนี้ค่าเงินยืมเพื่อทดรองจ่ายในกิจกรรมส่งเสริมการขายและค่าสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อจากโจทก์ เป็นหนี้ที่สามารถกำหนดจำนวนได้แน่นอน และนำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลายได้ โดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีแพ่งหรือให้ศาลในคดีแพ่งมีคำพิพากษาก่อน  พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน มิได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลจะต้องมีคำพิพากษากำหนดจำนวนให้แน่นอนเสียก่อน  จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในมูลหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้  โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามมาตรา 8 (9)  จำเลยมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว พฤติการณ์ของจำเลยที่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ ทั้งยังจดทะเบียนเลิกบริษัท กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่มา - คำ

"ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ต้องตีความโดยเคร่งครัด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2546)

คำว่า  "ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ต้องตีความโดยเคร่งครัด ซึ่งความหมายของข้อความที่ว่า ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลนั้น มิได้หมายถึงเฉพาะผู้ที่มีความสัมพันธ์ในฐานะครูหรืออาจารย์ ซึ่งมีหน้าที่สอนศิษย์เท่านั้น แต่ครูหรืออาจารย์นั้นต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแลปกป้องรักษาตัวศิษย์และกระทำความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติต่อศิษย์ในระหว่างมีหน้าที่ดังกล่าวด้วย จำเลยเป็นเพียงครูหรืออาจารย์สอนกวดวิชาตามที่มีผู้ไปสมัครเรียนตามความสมัครใจ และเมื่อโจทก์ร่วมที่ 2 สมัครเรียนชำระค่าสมัครแล้วจะไปเรียนหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสนใจที่จะใฝ่หาความรู้ แสดงว่า จำเลยไม่มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลปกป้องรักษาโจทก์ร่วมที่ 2 ตลอดระยะเวลาที่ทำการสอน ดังนั้น แม้จำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ 2 ก็มิใช่กระทำต่อศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลย อันจะเป็นผลให้จำเลยต้องรับโทษหนักขึ้น เมื่อการกระทำของจำเลยไม่ต้องด้วยกรณีที่ต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา 285 หากเป็นเพียงความผิดตามมาตรา 276 วรรคแรก และมิได้เกิดต่อหน้าธารกำนัล ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2 รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย จึงเป็นความผ

การสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และใช้สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 489/2567)

กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้มีหนังสือหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด กรณีมีการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หลายประเด็น หนึ่งในประเด็นดังกล่าวได้หารือว่า กรมฯ จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดและใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดเมื่อพ้น 10 ปีนับแต่วันทำละเมิดได้หรือไม่ หากไม่อาจดำเนินการได้ กรมฯ จะสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกับบุคคลที่ปล่อยปละละเลยให้การใช้สิทธิเรียกร้องขาดอายุความได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เห็นว่า การสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบว่าเจ้าหน้าที่ได้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐหรือไม่ เป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หากเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ และเจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนเท่า

บทยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยรถยนต์ ต้องตีความโดยเคร่งครัด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2567)

คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคนรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 โจทก์ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลย มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 และสิ้นสุดวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 โดยกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อตกลงว่าด้วยกรณีรถยนต์สูญหายหรือไฟไหม้ ผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ 150,000 บาท  เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565 เวลา 10.10 นาฬิกา โจทก์ขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยแล่นไปจอดที่บริเวณหน้าร้านขายแบตเตอรี่ทุ่งสง 99 แล้วมีคนร้ายลักรถยนต์คันดังกล่าวไป ต่อมาวันที่ 26 มกราคม 2565 เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งว่าพบรถยนต์ที่ถูกคนร้ายลักไปถูกเพลิงไหม้ที่ริมถนนสายเพชรเกษมฝั่งขาออกไปจังหวัดตรัง เยื้องโรงเรียนบ้านเหนือ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ โจทก์แจ้งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยปฏิเสธอ้างว่าเหตุที่รถยนต์สูญหายเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ศาลเห็นว่า การที่โจทก์ขับรถยนต์ที่ทำประกันภัยไว้กับจำเลยแล่นไปจอดริมถนนบริเวณหน้าร้านขายแบตเตอรี่ทุ่งสง 99 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสาธา

จำเลยไม่มาศาล ในกระบวนพิจารณาคดีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5217/2566)

จำเลยทั้งสามรับทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 โดยชอบแล้ว จำเลยทั้งสามต้องมาศาลตามกำหนดนัด แต่จำเลยทั้งสามไม่มาศาลโดยไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี  เมื่อทนายโจทก์แถลงว่ายังไม่ได้รับสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ขอหมายเรียกจากธนาคาร ท. และเป็นเอกสารสำคัญ จึงขอเลื่อนคดี  ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว อนุญาตให้เลื่อนคดีไปพิจารณาวันที่ 26 สิงหาคม 2564 เช่นนี้ หากจำเลยทั้งสามมาศาลในวันนัด จำเลยทั้งสามย่อมทราบวันเวลาที่ศาลเลื่อนพิจารณาออกไป ซึ่งตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 15 วรรคสอง กำหนดว่า ในกรณีที่คู่ความไม่มาศาลในนัดใดไม่ว่าจะได้รับอนุญาตจากศาลหรือไม่ ให้ถือว่าคู่ความนั้นได้ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในนัดนั้นแล้ว ดังนี้กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสามทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 26 สิงหาคม 2564 โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสามไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ที่ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณา แล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว  ในการพิจารณาคดีของศาลนั้น หากศาลเห็นว่าเพื่

เจ้าหนี้ไม่ได้เตือนให้ชำระเงิน ลูกหนี้ยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2567)

เงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยที่ 1 เป็นหนี้เงินอย่างหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดให้แก่โจทก์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว" โดยคำเตือนในกรณีนี้คือการทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับ และการทวงถามนั้นโจทก์จะต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เสียก่อน จึงจะถือว่าเป็นคำเตือนโดยชอบ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินตามที่โจทก์ทวงถามแล้วจึงจะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัด  เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนจากจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อจำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยที่ 2 พิจารณาแล้วมีมติยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์จึงนำคดีนี้มาฟ้อง  เมื่อ ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าโจทก์ได้กำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินทดแทนค่าบริการทางการ

การใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ฟ้องศาลยุติธรรม (คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 3/2567)

ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามบทนิยาม "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 เป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามบทนิยาม "หน่วยงานทางปกครอง" ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน  อย่างไรก็ตาม การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 ที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ได้แก่ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ถึงที่ 6 ทำการตรวจ ค้น รถ อ้างว่ารถยนต์ของผู้ฟ้องคดีที่ 2 ขนไม้ผิดกฎหมาย พร้อมทั้ง ยึด รถยนต์ของผู้ฟ้องคดีที่ 2 และไม้ทั้ง 9 ท่อน หรือการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มอบหมายให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ลงบันทึกประจำวันต่อพนักงานสอบสวนเพื่อเตรียมการดำเนินคดี กับผู้ฟ้องคดีทั้งสองว่ากระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษทางอาญา หรือการ ไม่ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ไม่ทำสำนวนอายัดหรือดำเนินคดี จงใจกระทำละเมิดเพราะไม้พิพาทเป็นไม้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย นั้น ล้วน เป็นขั้นตอนของการใช้อ

การไฟฟ้าไม่ดูแลรักษาความปลอดภัยหม้อแปลงไฟฟ้า ฟ้องศาลปกครอง (คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 14/2567)

การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามนัยบทนิยาม "หน่วยงานทางปกครอง" ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มีวัตถุประสงค์ในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า และมีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงอำนาจจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สิน รวมทั้งในการดำเนินกิจการของ กฟน. ให้คำนึงถึงความปลอดภัยประโยชน์ของรัฐและประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 มาตรา 13 (6) และมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501  เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้ บริษัทประกันภัย (ผู้ฟ้องคดี) อ้างว่า กฟน. (ผู้ถูกฟ้องคดี) ละเลยไม่ดูแลจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้และรักษาหม้อแปลงไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพดีและปลอดภัยต่อทรัพย์สินของประชาชน เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของนางสาว ก. ที่ผู้ฟ้องคดีได้รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย  โดยผู้ฟ้องคดีได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นางสาว ก. ผู้เอาประกันภัยแล้ว ผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้รับประกันภั

ร่าง พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. ....

คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการ " ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. ...." เมื่อวันที่  2 เมษายน 2567  โดยมีประเด็นสำคัญที่ได้ปรับปรุงจาก พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ดังนี้ แก้ไขชื่อกฎหมายใหม่ เป็น พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. .... เพื่อขยายขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายให้ไปถึงการให้บริการต่าง ๆ แก่ประชาชน โดยมีหลักการสำคัญ 12 ประการ ที่ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้รับการบริการที่รวดเร็วขึ้น (Faster) ง่ายขึ้น (Easier) ค่าใช้จ่ายที่ถูกลง (Cheaper) และมีความทันสมัย (Smarter) ดังนี้ 1. มีความสะดวกมากขึ้น  (Faster) (1) การขยายขอบเขตการดำเนินการนอกเหนือจากงานบริการที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติอนุญาต เพื่อให้ครอบคลุมงานบริการที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับประชาชน (2) การให้ผู้อนุญาตมีการทบทวนกฎหมายทุก 5 ปี ในประเด็นต่าง ๆ เช่น การปรับเปลี่ยนการอนุญาตเปลี่ยนเป็นจดแจ้ง การปรับเปลี่ยนการพิจารณาอนุญาตโดยคณะกรรมการเป็นหัวหน้าหน่วยงาน รวมทั้งให้มีการทบทวนคู่ม

ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้นำสืบไม่ได้ความว่ามีการวางแผนล่วงหน้า (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2567)

ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า  เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2548 เวลาประมาณ 17 นาฬิกา ขณะที่จำเลยกำลังเล่นตะกร้ออยู่หน้าบ้านนางเล็ก มารดาจำเลย นายจำรัส ผู้เสียหายที่ 1 และนายสุทัศน์ ผู้เสียหายที่ 2 ไปหาจำเลยที่บ้านที่เกิดเหตุ เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายทั้งสองจึงเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุแล้วออกจากบ้านที่เกิดเหตุพร้อมอาวุธปืน จากนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 หลายนัด กระสุนปืนถูกบริเวณลำตัวผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและหมดสติไป  เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ฟื้นได้สติและร้องขอน้ำดื่ม พวกของจำเลยเข้าไปรุมกระทืบ เตะ และต่อยผู้เสียหายที่ 1 จนหมดสติ ต่อมาจำเลยกับพวกช่วยกันใช้เชือกมัดมือมัดเท้าของผู้เสียหายที่ 1 แล้วนำขึ้นท้ายรถกระบะขับออกจากบ้านที่เกิดเหตุพาผู้เสียหายที่ 1 ไปยังคลองชลประทาน 2 ขวา แล้วจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงแก่ความตาย  ต่อมาวันที่ 4 มีนาคม 2548 มีผู้พบศพผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในคลองชลประทาน 2 ขวา  ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้เสียหายที่ 1 เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่   ศาลฎี

แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ พม. ตามกฎหมายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 มาตรา 45 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย และมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามกฎหมายนี้ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ออก ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยยกเลิกประกาศแต่งตั้งฉบับเดิม และแต่งตั้งข้าราชการในสังกัด พม. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ดังต่อไปนี้ (1) ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (2) รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (3) ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (4) อธิบดีกรมส่งเสริมและพั

ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลาย แต่ศาลพิจารณาได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4050/2566)

คดีนี้สืบเนื่องจากเจ้าหนี้ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 7788/2541 พิพากษาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2541 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 มายื่นคำขอรับชำระหนี้  ศาลล้มละลายกลาง เห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยื่นฟ้องลูกหนี้ทั้งสามเป็นคดีล้มละลายหรือมีเหตุอื่นใดอันอาจทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความและต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้  เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า เจ้าหนี้นำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องลูกหนี้ทั้งสามให้ล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 อายุความย่อมสะดุดหยุดลง ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบดีอยู่แล้วนั้น  ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลาย เห็นว่า ตามรายงานความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในเรื่องคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสามเด็ดขาด วันที่ 23 เมษายน 2552 เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์นำมูลหนี