บทความ

ย่อสั้น พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

ย่อสั้น พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เป็นการย่อหลักกฎหมายสั้น ๆ ในแต่ละมาตรา โดยสามารถดูคำวินิจฉัยฉบับเต็ม/เอกสารที่อ้างอิงได้ที่ลิงก์ครับ (ซึ่งผมจะทยอยอัพเดตสม่ำเสมอนะครับ)  ***************   มาตรา 19 บัญญัติว่า "ถ้าปรากฏภายหลังว่าเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่"  - เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งนั้น ประกาศเลื่อนข้าราชการ ในขณะที่ยังไม่มีคำสั่งเพิกถอนให้พ้นจากตำแหน่ง การกระทำทางปกครองจึงมีผลต่อไปไม่ถูกกระทบกระเทือน ดังนั้น ประกาศเลื่อนข้าราชการจึงมีผลใช้ได้ ไม่เสียไป (คลิกอ่านฉบับเต็ม ความเห็นคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เรื่องเสร็จที่ 778/2551)   มาตรา 43 บัญญัติว่า "คำสั่งทางปกครองที่มีข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือผิดหลงเล็กน้อยนั้น เจ้าหน้าที่อาจแก้ไขเพิ่มเติมได้เสมอ   ในการแก้ไขเพิ่มเ

อายุความการออกคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

กรณีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของรัฐที่เสียหายจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐที่เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือภายใน 1 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐมีคำสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลังในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิด แต่กระทรวงการคลังตรวจสอบแล้วเห็นว่าต้องรับผิด แต่จะต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันทำละเมิด ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และมาตรา 448 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีนี้ เทศบาลตำบล บ. ได้จ่ายเงินในการจัดซื้อสินค้าให้แก่ผู้ขายเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2550 ต่อมามีผู้ร้องเรียนว่าการจัดซื้อไม่เหมาะสมและทุจริต นายกเทศมนตรีจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด โดยได้เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ว่าไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่กระทำด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงไม่มีผู้ใดต้องรับผิดช

เลิกกิจการมหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ (ประเทศไทย)

ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ (ประเทศไทย) ได้แจ้งความประสงค์ขอเลิกดำเนินกิจการมหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ (ประเทศไทย) ซึ่งคณะกรรมการการอุดมศึกษา ในการประชุมครั้งที่ 7/2565 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 พิจารณาเห็นชอบให้คำแนะนำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีคำสั่งให้เลิกกิจการได้ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการการอุดมศึกษา จึงมีคำสั่งให้เลิกกิจการมหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ (ประเทศไทย) ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่มา / ดาวน์โหลดไฟล์ คำสั่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ 1/2566 เรื่อง ให้เลิกกิจการมหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ (ประเทศไทย) ลงวันที่ 4 มกราคม 2566

กฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566

คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 เห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 โดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมในข้อ 7 แห่งกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2561 จาก "ข้อ 7 สถานศึกษาตามข้อ 2 ที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา" เป็น "ข้อ 7 สถานศึกษาตามข้อ 2 ที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา ตามเจตนารมณ์ของนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์" อนึ่ง คำว่า "สถานศึกษาตามข้อ 2 ที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้น ออกจากสถานศึกษาดังกล่าว ..." นั้น เป็นบทกำหน

สาระสำคัญ พ.ร.บ.มาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 (ฉบับเตรียมสอบ)

รูปภาพ
1. พ.ร.บ.นี้ ตราขึ้นในปีที่ 4 ในรัชกาลปัจจุบัน โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา   - ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 และใช้บังคับตั้งแต่ วันถัด จากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.2562 เป็นต้นไป)   - พ.ร.บ.นี้ มีบทบัญญัติทั้งหมด 22 มาตรา   - เหตุผลในการประกาศใช้ คือ โดยที่มาตรา 76 วรรคสาม ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐพึงจัดให้มี  มาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในหน่วยงานนั้น ๆ ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าว 2. นิยาม / คำจำกัดความ   - "หน่วยงานของรัฐ" หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐในฝ่ายบริหาร แต่ไม่หมายความรวมถึง หน่วยงานธุรการของรัฐสภา องค์กรอิสระ ศาล และองค์กรอัยการ  (เฉพาะฝ่ายบริหาร ไม่รวมฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ อัยการ และองค์กรอิสระ)   - "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" หมายความว

ระเบียบการประกาศเรื่องในราชกิจจานุเบกษา

รูปภาพ
คลิกดาวน์โหลดไฟล์ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประกาศเรื่องในราชกิจจานุเบกษา พ.ศ. 2566

ยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563

รูปภาพ
"ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 พ.ศ. 2566" กำหนดให้ยกเลิก ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (ปัจจุบันสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป) อัพเดต... เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 พ.ศ. 2566 เล่ม 140/ตอนพิเศษ 23 ง/หน้า 5/1 กุมภาพันธ์ 2566 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป

ตั้งหลานนอกสายเลือดซึ่งปกครองดูแลคนไร้ความสามารถ ให้เป็นผู้อนุบาล (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4445/2563)

ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอ ขอให้สั่งให้ นาง ป. เป็นคนไร้ความสามารถ และอยู่ในความอนุบาลของผู้ร้อง ผู้คัดค้าน ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้อนุบาล ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นาง ป. สมรสกับพลเรือตรี ส. ไม่มีบุตรด้วยกัน ต่อมาปี 2543 พลเรือตรี ส. ถึงแก่ความตาย นาง ป. กับผู้ร้องเป็นบุตรของนาย ช. และนาง น. บิดามารดาถึงแก่ความตายแล้ว ส่วนผู้คัดค้านเป็นบุตรของนาย ส. เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาของนาง ป. ผู้คัดค้านมีฐานะเป็นหลานของนาง ป.  เมื่อปี 2558 นาง ป. ป่วยและเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล1 ต่อมาได้รับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล2 แล้วถูกย้ายมารักษาตัวที่โรงพยาบาล3 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาว่า ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ซึ่งปกครองดูแลนาง ป. ที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอ ทั้งมิใช่บุคคลที่กฎหมายกำหนดให้เป็นผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นาง ป. เป็นคนไร้ความสามารถและเป็นผู้อนุบาล ยกคำร้องขอของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่ฎีกา คำร้องขอในส่วนของผู้ร้องจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดี

ข้าราชการมีกรรมสิทธิ์ในเคหสถาน ไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1607/2565)

ตาม พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 มาตรา 7 (2) กำหนดหลักเกณฑ์ไม่ให้สิทธิข้าราชการที่มีเคหสถานอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือคู่สมรสในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่เบิกค่าเช่าบ้าน โดยไม่มีบทบัญญัติว่าให้ใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรานี้เฉพาะในขณะที่ข้าราชการยื่นขอใช้สิทธิ  ดังนี้ จึงต้องตีความว่าบทบัญญัติดังกล่าวย่อมต้องบังคับใช้ตลอดเวลาที่ข้าราชการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการ กล่าวคือ ข้าราชการผู้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านนั้นต้องไม่มีเคหสถานอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือคู่สมรสในท้องที่ที่ตนไปประจำในช่วงเวลาที่ขอใช้สิทธินี้ หาใช่ตีความว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าวบังคับใช้แต่เฉพาะเวลาที่ข้าราชการยื่นคำขอใช้สิทธิ แล้วข้าราชการผู้นั้นยังคงสิทธิในการเบิกค่าเช่าบ้านได้ตลอดช่วงเวลาที่ประจำสำนักงานใหม่ในท้องที่นั้นดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่  เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2416 พร้อมบ้านเลขที่ 146 ทั้งส่วนของบิดาและส่วนของน้องชายมาโดยไม่มีภาระหนี้เกี่ยวกับบ้านหลังดังกล่าว จำเลยย่อมเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนี้อย่างสมบูรณ์  กรณีต้องด้วยหลักเกณฑ์ข้างต้นว่า จำ

ศาลกำหนดดอกเบี้ยค่าชดเชยการเลิกจ้างมากกว่าคำฟ้องได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2564)

โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี และได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 30,000 บาท  ไม่ปรากฏว่าโจทก์กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 วรรคหนึ่ง (1) - (6) จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย ให้แก่โจทก์ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน ตามมาตรา 118 วรรคหนึ่ง (2) เป็นเงิน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง นับตั้งแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นต้นไป โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยสำหรับค่าชดเชยโดยคำนวณถึงวันฟ้องเพียงหนึ่งปีหนึ่งเดือน แต่เพื่อความเป็นธรรม ศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในค่าชดเชยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ   ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 52 ประกอบมาตรา 57/1 วรรคสอง ที่มา  - คำพิพากษาฎีกาที่ 1631/2564, เนติบัณฑิตยสภา สารบาญคำพิพากษาฎีกา ประจำพุทธศักราช 2564 หน้า 568 - 569 - พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541    มาตรา 9 วรรคหนึ่ง "ในกรณีที่นายจ้างไม่คืนหลักประกันที่เป็นเงินตามมาตรา 10 วรรคสอง ไม

นำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้ว มาฟ้องล้มละลาย ไม่ใช่การบังคับคดี (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5119/2549)

โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้ว มาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย มิใช่เรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง   จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้   แต่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลาย โดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษา ของศาลจังหวัด... ซึ่ง เป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุด มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32   ดังนั้น เมื่อศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำพิพากษาดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2538 โดยคู่ความมิได้อุทธรณ์คดีดังกล่าวจึงถึงที่สุดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2538  โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2548 จึงอยู่ภายใต้กำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด โจทก์มีสิทธินำหนี้ตามคำพิพากษานั้น มาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายได้  เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท และปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีนี้จำเ

เรียกค่าสินไหมทดแทนจากการยักยอก (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1672/2565)

การเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่ตนครอบครองเป็นของตนโดยทุจริตอันเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกและเป็นละเมิดในทางแพ่งนั้น การใช้ค่าสินไหมทดแทนต้องกระทำโดยการคืนทรัพย์สินที่ยักยอกแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินเป็นลำดับแรก กรณีไม่อาจคืนทรัพย์สินแก่ผู้เสียหายได้ ผู้เสียหายจึงจะมีสิทธิเรียกให้ผู้ทำละเมิดใช้ราคาทรัพย์สินแทนเป็นลำดับถัดมา   ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสอง  คดีนี้โจทก์มีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้ายรวม 19 ลำดับ แก่โจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 แสดงว่าขณะฟ้องทรัพย์สินของโจทก์ร่วมทั้งหมด รวมทั้งสะพานไม้รอบบ่อ ยังอยู่ในสภาพที่จำเลยทั้งสามสามารถคืนให้แก่โจทก์ร่วมได้ ทั้ง ในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีส่วนแพ่งในศาลชั้นต้นของโจทก์ร่วม เริ่มตั้งแต่ยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เข้าร่วมไกล่เกลี่ยตกลงให้โจทก์ร่วมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและอาคารที่เช่า ตลอดจนอ้างตนเองเบิกความเป็นพยาน โจทก์ร่วมก็มิได้โต้แย้งหรือเบิกความคัดค้านว่าสะพานไม้รอบบ่อสูญหาย หรือบุบสลายหรือถูกทำลายจนไม่อยู่ในสภาพที่จำเลยทั

เสพยาเสพติดต่างชนิดในช่วงเวลาต่อเนื่องเชื่อมโยง เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2698/2565)

จําเลยเสพเมทแอมเฟตามีน ด้วยวิธีเผาลนจนเกิดควันแล้วสูดดมควันเข้าสู่ร่างกาย หลังจากนั้น จําเลยเสพเฮโรอีน โดยนําเฮโรอีนใส่ในอุปกรณ์การเสพผสมกับบุหรี่จุดไฟให้เกิดควันแล้วสูดดมควันเข้าสู่ร่างกาย แม้วิธีการเสพจะแตกต่างกัน และโจทก์บรรยายฟ้องแยกเป็นข้อ ๆ ต่างหากจากกัน  แต่การเสพเมทแอมเฟตามีนและเสพเฮโรฮีนเป็นความผิดในบทบัญญัติกฎหมายมาตราเดียวกัน จําเลยเสพเมทแอมเฟตามีนแล้วเสพเฮโรอีนในเวลาต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกัน ย่อมไม่อาจอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแตกต่างแยกจากกันได้ จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่มา  - ระบบสืบค้นคำพิพากษา คำสั่งคำร้องและคำวินิจฉัยศาลฎีกา - ประมวลกฎหมายอาญา   มาตรา 90 "เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด"

หลักการให้คู่กรณีมีสิทธิโต้แย้งข้อเท็จจริงและมีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณา

หลักการให้คู่กรณีมีสิทธิโต้แย้งข้อเท็จจริงและมีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณา ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มีดังนี้ 1. สิทธิในการได้รับคำแนะนำและได้รับแจ้งสิทธิหน้าที่ของตนในกระบวนพิจารณา รวมถึงผลกระทบสิทธิหน้าที่จากคำสั่งทางปกครองที่จะเกิดขึ้น (มาตรา 27) และสิทธิในการอุทธรณ์หรือโต้แย้งคำสั่งทางปกครองภายในระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือโต้แย้งนั้น (มาตรา 40) 2. สิทธินำทนายความหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครอง (มาตรา 23) และสิทธิแต่งตั้งตัวแทน (มาตรา 24) โดยอาจเป็นตัวแทนของคู่กรณีรายเดียว (มาตรา 24 วรรคหนึ่ง) หรือตัวแทนร่วมของคู่กรณีเกิน 50 คน (มาตรา 25) 3. สิทธิในการทราบข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหาอย่างเพียงพอภายในระยะเวลาอันสมควร เพื่อให้สามารถโต้แย้งและแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เว้นแต่กรณีตามข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนด เช่น เหตุเกี่ยวกับความเร่งด่วนหรือสภาพของเรื่อง ซึ่งหากเจ้าหน้าที่เห็นควรก็อาจยังคงให้โอกาสคู่กรณีโต้แย้งได้ตามความเหมาะสม แต่ต้องไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ (มาตรา 30) 4. สิทธิในการขอตรวจดูเอกสารที่จำเป็นแก่การใช้สิท

สิทธิเรียกร้องตามสัญญาประกันชีวิตที่เป็นสินสมรส เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมทั้งหมด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5980/2564 (ประชุมใหญ่))

ภายหลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทำการยึดเงินคืนครบกำหนดสัญญาประกันภัย จำนวน 671,025.50 บาท ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้าน เพื่อขอให้เพิกถอนการยึดและคืนเงินให้แก่ผู้ร้อง แต่ผู้คัดค้านมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงขอให้ศาลมีคำสั่งกลับคำสั่งผู้คัดค้านและคืนเงินให้แก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านได้ยื่นคำคัดค้านว่า สัญญาประกันภัยดังกล่าวมีจำเลยเป็นผู้เอาประกันภัย ผู้ร้องมิได้เป็นคู่สัญญา เมื่อสัญญาประกันภัยครบกำหนด ผู้รับประกันภัยต้องส่งเงินคืนครบกำหนดตามกรมธรรม์ให้แก่จำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิในเงินคืนดังกล่าว  ขอให้ศาลยกคำร้อง ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้อง  ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลาย เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการทำสัญญาประกันชีวิตจำเลย ในลักษณะ สัญญาประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (มีเงินปันผล) มีลักษณะเป็นการประกันความเสี่ยงชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเสียชีวิตของจำเลย เพื่อความมั่นคงของครอบคร

ฟ้องบริษัทร้างซึ่งถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4864/2564)

จำเลยที่ 2 เป็น บริษัทร้างซึ่งนายทะเบียนได้ขีดชื่อออกจากทะเบียนแล้ว ตามความในมาตรา 1273/3 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2560  เช่นนี้ จำเลยที่ 2 ย่อมสิ้นสภาพนิติบุคคลตั้งแต่เมื่อนายทะเบียนขีดชื่อออกเสียจากทะเบียน ซึ่งเป็นกรณีการถอนทะเบียนบริษัทจำกัดร้าง มิใช่เป็นกรณีที่บริษัทเลิกกันอันให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 ตามที่โจทก์ฎีกา   โจทก์ยื่นฟ้องในวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่จำเลยที่ 2 สิ้นสภาพนิติบุคคลแล้ว ดังนั้น ขณะฟ้องจำเลยที่ 2 จึงไม่มีสภาพความเป็นนิติบุคคลที่จะให้โจทก์ฟ้องได้  ประกอบกับข้อเท็จจริง ไม่ปรากฏว่าโจทก์ร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งจดชื่อจำเลยที่ 2 กลับคืนเข้าสู่ทะเบียนเสียก่อนที่จะฟ้องตามมาตรา 1273/4 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (11) และมาตรา 55 ที่มา -  ระบบสืบค้นคำพิพากษา คำสั่งคำร้องและคำวินิจฉัยศาลฎีกา - ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์   มาตรา 1249 ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี แม้จะได้เลิกกันแล้ว ก็ให้พึงถือว่า

ศาลรับฟังหลักวิชาการวิจัยและสถิติในคดียาเสพติด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7123/2560)

คดีนี้ศาลฎีกากำหนดปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย ว่าการตรวจเมทแอมเฟตามีนของกลางด้วยการสุ่มตรวจจากตัวอย่างร้อยละ 10 ของวัตถุของกลาง 2,000 เม็ด พบสารเมทแอมเฟตามีนในวัตถุตัวอย่างที่ตรวจ จึงนำมาคำนวณหาสารเสพติดทั้ง 2,000 เม็ด ได้สารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีน 28.236 กรัม ของผู้เชี่ยวชาญจะรับฟังได้หรือไม่  ข้อเท็จจริงได้ความจากบันทึกการจับกุม เอกสารการส่งและรับวัตถุของกลางระหว่างพนักงานสอบสวนกับเจ้าพนักงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางว่า วัตถุของกลาง 20,000 เม็ด นั้น มีการแบ่งแยกบรรจุตามสีของเม็ดวัตถุและสีของถุงพลาสติกที่บรรจุมาก่อน โดยวัตถุเม็ดสีส้มจำนวน 1,980 เม็ด และสีเขียว 20 เม็ด ของกลางในคดีนี้บรรจุซองพลาสติกสีน้ำเงิน 10 ซอง มัดรวมกันเป็น 1 มัด รัดด้วยหนังยาง  ส่วนวัตถุเม็ดสีส้มอ่อนจำนวน 8,000 เม็ด บรรจุอยู่ในซองพลาสติกสีฟ้า แบ่งเป็น 4 มัด มัดละ 10 ซอง  กับวัตถุเม็ดสีส้มออกน้ำตาลจำนวน 10,000 เม็ด บรรจุซองพลาสติกสีน้ำเงินแบ่งเป็น 5 มัด มัดละ 10 ซอง  และผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้สุ่มตรวจ

หลักการพิจารณาอุทธรณ์และผลการพิจารณาอุทธรณ์

หลักการพิจารณาอุทธรณ์   ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งทางปกครองที่ได้รับคำอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง มีอำนาจพิจารณาทบทวนคำสั่งทางปกครองของตนเองตามคำอุทธรณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย หรือความเหมาะสมของการทำคำสั่งทางปกครอง  และอาจมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งทางปกครองเดิมหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งนั้นไปในทางใด และในเรื่องใดก็ได้ ภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน (มาตรา 46)  โดยต้องพิจารณาให้เสร็จ และแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบว่าตนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์นั้นโดยไม่ชักช้า แต่ต้องไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ (มาตรา 45 วรรคหนึ่ง)  ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงคำสั่งทางปกครองภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ (มาตรา 45 วรรคหนึ่ง)  แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ นอกจากจะต้องแจ้งผลให้แก่ผู้อุทธรณ์ทราบแล้ว ยังต้องเร่งรายงานความเห็น พร้อมด้วยเหตุผลไปยังผู้มีอำนาจพิจารณาคำอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ดังกล่าวด้วย  ส่วนว่าผู้ใดจะเป็นผู้มีอำน

ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1184 - 1187/2565)

โจทก์ร่วมเปิดบัญชีเงินฝาก ธนาคารให้รหัสผู้ใช้และรหัสผ่านแก่โจทก์ร่วม ซึ่งโจทก์ร่วมใช้ข้อมูลบัญชีเงินฝาก รหัสผู้ใช้และรหัสผ่านบนโปรแกรมทางอินเทอร์เน็ตในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการ ชำระหนี้อื่นแทนการชำระเงินสด ใช้โอนเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ร่วมไปยังบัญชีเงินฝากของบุคคลอื่น ใช้ในการเบิกถอนเงินสด หรือใช้ในธุรกรรมอย่างอื่น  ถือได้ว่าเป็นการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ตามความหมายของมาตรา 1 (14) (ข) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ข้อมูลบัญชีเงินฝากธนาคาร รหัสผู้ใช้และรหัสผ่านที่โจทก์ร่วมได้รับมา เป็นข้อตกลงระหว่างธนาคารและโจทก์ร่วมในการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ โดยโจทก์ร่วมต้องเก็บรักษาเป็นความลับของตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้  การที่โจทก์ร่วมให้จำเลยที่ 2 ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์โดยการบอกข้อมูลบัญชีเงินฝากธนาคาร รหัสผู้ใช้และรหัสผ่านแก่จำเลยที่ 2 ในฐานะลูกจ้าง ก็เพื่อให้ทำธุรกรรมบนโปรแกรมทางอินเทอร์เน็ตแทนโจทก์ร่วมให้เป็นไปตามที่โจทก์ร่วมสั่งหรือมอบหมายให้ทำ หาใช่นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้เกินกว่าที่โจทก์ร่วมสั่งหรือมอบหมายให้ทำไม่   การที่จำเลยที่ 2 ใช้ข้อมูล บัญชีเงินฝากธนาคาร รหัสผู้ใช้และรหัสผ่านของโจทก์ร่วมโอนเงินจาก

ไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ นับอายุความตามมูลหนี้เดิม (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2564)

จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 นำหนี้ตามสัญญากู้เงินมาทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยกำหนดเงื่อนไขการผ่อนชำระและระยะเวลาการชำระหนี้ใหม่เท่านั้น ไม่มีข้อความใดแสดงเจตนาให้หนี้เดิมระงับสิ้นไป แล้วมาบังคับกันใหม่ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้แต่อย่างใด เมื่อไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ การนับอายุความต้องถือตามมูลหนี้เดิมแต่ละมูลหนี้ เมื่อ หนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ยืมเงิน มีเงื่อนไขให้ผ่อนชำระเงินกู้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือน จึงเป็นหนี้เงินที่ต้องผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ มีอายุความ 5 ปี และจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ซึ่งครบอายุความ 5 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2556 โจทก์ฟ้องวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 เกินกว่า 5 ปี หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินขาดอายุความแล้ว ส่วน หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี มีอายุความ 10 ปี จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) โจทก์ฟ้องวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 ยังไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันดังกล่าว หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ขาดอายุความ ที่มา