บทความ

การดำเนินการของหน่วยงานของรัฐภายหลังยื่นคำฟ้อง คำให้การ

หน่วยงานของรัฐที่ได้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการดำเนินคดีแพ่ง เมื่อได้มีการยื่นคำฟ้อง คำให้การ หรือฟ้องแย้งแล้ว มีขั้นตอนการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้ ✅ กรณีส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลไม่สามารถส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยได้ เนื่องจากหาบ้านไม่พบ หรือไม่มีตัวบ้านอยู่แล้วตามภูมิลำเนาที่ยื่นฟ้อง ผู้ประสานงานคดีจะต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริง จัดทำแผนผังที่ตั้งของบ้านอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลย หรือตรวจสอบภูมิลำเนาอื่น ๆ ของจำเลย เพื่อเป็นข้อมูลให้พนักงานอัยการแถลงศาลต่อไป ✅ การเตรียมพยานบุคคลเพื่อเบิกความต่อศาล ก่อนนำพยานบุคคลเข้าเบิกความต่อศาล ผู้ประสานคดีมีหน้าที่ประสานงานกับพยานให้มาพบพนักงานอัยการเพื่อทบทวนข้อเท็จจริง ประเด็นในคดี แนวทางการเบิกความ และตรวจสอบบันทึกข้อความแทนการสืบพยาน รวมถึงตรวจสอบพยานหลักฐานก่อนส่งศาล ✅ การตามประเด็นไปสืบพยานที่ศาลอื่น ในกรณีที่พยานที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประสงค์จะนำเข้าสืบมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด และศาลอนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบยังศาลที่พยานมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจ พนักงานอัยการอาจตามประเด็นไปหรือส่งประเด็นไปให้พนักงานอัยการใ

หน่วยงานของรัฐจัดทำใบแต่งทนายความคดีแพ่ง

หน่วยงานของรัฐที่ขอความอนุเคราะห์พนักงานอัยการ ว่าต่างหรือแก้ต่างคดี ต้องดำเนินการเกี่ยวกับใบแต่งทนายความก่อนยื่นคำฟ้อง คำให้การ และฟ้องแย้ง ดังนี้ ✅ ต้องใช้แบบพิมพ์ใบแต่งทนายความของศาลยุติธรรม โดยข้อความแต่งทนายความและคำรับเป็นทนายต้องอยู่แผ่นเดียวกัน (ด้านหน้าและด้านหลัง) ✅ กรณีมีการมอบอำนาจ ให้ลงนามในใบแต่งทนายความโดยระบุตำแหน่ง และส่งสำเนาคำสั่งการดำรงตำแหน่งของผู้รับมอบอำนาจ ✅ ข้อความในใบแต่งทนายความ ควรระบุรายละเอียดให้ครบถ้วน        ✔ ให้อำนาจทนายความดำเนินกระบวนพิจารณาไปในทางจำหน่ายสิทธิของคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 ให้ครบถ้วน        ✔ ให้ทนายความมีอำนาจดำเนินการแทนโดยครอบคลุม เช่น เรื่องการรับเงิน และรับเอกสารคืนจากศาล        ✔ ระบุชื่อ นามสกุล และตำแหน่งไว้ใต้ลายมือชื่อของผู้แต่งทนาย ✅ ในกรณีว่าต่าง ยังไม่ต้องกรอกชื่อคู่ความในใบแต่งทนาย เนื่องจากพนักงานอัยการต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในคดีก่อน ว่าจะยื่นฟ้องจำเลยได้ครบทุกราย ตามที่หน่วยงานตัวความแจ้งความประสงค์หรือไม่ ✅ ให้จัดส่งใบแต่งทนายความพร้อมหนังสือนำส่ง โดยแนบสำเนาหนังสือมอบอำนาจ (กรณีม

การเรียกคืนเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการที่ได้รับไปโดยไม่มีสิทธิ ตามหลักลาภมิควรได้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

สำนักงานศาลปกครองได้มีหนังสือหารือคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ในกรณีที่มีการเรียกคืนเงินค่าเช่าบ้าน ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 เพราะเหตุว่าข้าราชการที่ได้รับเงินดังกล่าวไปโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา 51 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่บัญญัติให้นำบทบัญญัติเรื่องลาภมิควรได้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับโดยอนุโลมนั้น หากได้มีการนำเงินไปชำระค่าเช่าซื้อบ้านหรือเงินกู้ซื้อบ้านทั้งจำนวนแล้ว จะถือว่าไม่มีเงินค่าเช่าบ้านเหลืออยู่ในขณะเรียกคืน ใช่หรือไม่ คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเห็นว่า การเพิกถอนคำสั่งอนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน พ.ศ. 2547 เป็นการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองอย่างหนึ่ง เมื่อกฎหมายเฉพาะไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้เป็นการเฉพาะ กรณีย่อมอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 จึงต้องนำหลักเกณฑ์การเพิกถอนคำสั่งทางปกครองซึ่งเป็นการให้เงิน หรือให้ทรัพย์สิน หรือให้ประโยชน์ที่อาจแบ่งแยกได้ ตามมาตรา 50 ประกอบกับมาตรา 51 มาใช้บังคับ กล่าวคือ คำสั่งทางปกครองที่

ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินมรดกให้ตนเองในฐานะเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2567)

บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 ที่ว่าผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ เว้นแต่พินัยกรรมจะอนุญาตไว้ หรือได้รับอนุญาตจากศาล เป็นกรณีที่ใช้บังคับเฉพาะผู้จัดการมรดกที่มิได้เป็นทายาท  แต่สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ตามคำสั่งศาลแล้ว ยังเป็นหนึ่งในทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของ ส.  การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วน ของ ส. ให้แก่ตนเองเป็นส่วนตัวในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกในที่ดินพิพาทด้วย จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่มีอยู่ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 1719 โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาทหรือได้รับอนุญาตจากศาล  จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 1722 อันจะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 150 ที่มา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2567 , ระบบสืบค้นคำพิพากษา คำสั่งคำร้องและคำวินิจฉัยศาลฎีกา

เพลิงไหม้บ้านพักของทางราชการ : การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และการพิจารณาความรับผิด

การเข้าพักในบ้านพักของทางราชการ มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ หากเกิดเพลิงไหม้บ้านพัก เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย จะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เห็นว่า ตามข้อ 8 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กำหนดว่า เมื่อเกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐแห่งใด และหัวหน้าหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นมีเหตุอันควรเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐแห่งนั้น ให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ดังนั้น ในกรณีที่ หัวหน้าหน่วยงานของรัฐเห็นว่า มีเหตุอันควรเชื่อว่าความเสียหายที่เกิดแก่หน่วยงานของรัฐนั้น เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ หัวหน้าหน่วยงานของรัฐก็จะต้องแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด แต่กรณีที่ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่า ความเสียหายที่เกิดแก่หน่วยงานของรัฐนั้น ไม่ได้เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกรณีที่แม้เป็นความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ แต่เจ้าหน้า

ขอให้เปิดเผยผลประเมินการปฏิบัติงานได้ แม้หน่วยงานจะกำหนดให้เป็นความลับก็ตาม (คำวินิจฉัย ที่ สค 118/2567)

นาย ส. เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2559-2566 ต่อมาไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อต่อสัญญาจ้างในปีถัดมา จึงไม่ได้รับการต่อสัญญาจ้าง นาย ส. มีได้คำขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลการประเมินปรับขึ้นเงินเดือน ตั้งแต่ปี 2559-2565 และผลการประเมินเพื่อต่อสัญญาจ้างครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 หน่วยงานปฏิเสธการเปิดเผย โดยให้เหตุผลว่า เป็นข้อมูลที่กำหนดชั้นความลับ และ การเปิดเผยอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคคลหนึ่งบุคคลใด ตามมาตรา 15 (4) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 นาย ส. จึงอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย วินิจฉัยว่า ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการตามปกติ ของหน่วยงานของรัฐ และ เป็นข้อมูลส่วนบุคคลของนาย ส. ซึ่งย่อมมีสิทธิที่จะได้รู้ถึงข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 แม้ข้อมูลข่าวสารนั้นจะกำหนดชั้นความลับไว้ ตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับขอ

นำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารในคดีล้มละลายได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9237/2539)

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยที่ 1 นำไปให้บุคคลภายนอกกู้ โดยคิดดอกเบี้ยอัตราระหว่างร้อยละ 7 ถึง 25 ต่อเดือน แล้วแบ่งผลประโยชน์ สัญญากู้เงินตามฟ้องโจทก์นำเงินมาให้จำเลยที่ 1 ปล่อยกู้เพียง 375,000 บาท แต่โจทก์นำดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 25 ต่อเดือน เป็นเวลา 1 ปี เป็นเงิน 1,125,000 บาท มารวมเข้ากับต้นเงินดังกล่าวเป็นเงิน 1,500,000 บาท แล้วให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงิน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันไว้เป็นหลักประกัน  จำเลยที่ 1 ได้ขายบ้านพร้อมที่ดินของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แทนโจทก์ให้แก่นาง ส. ไปแล้วจำนวน 250,000 บาท ส่วนที่เหลือจำเลยที่ 1 ก็ชำระคืนให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว คำให้การของจำเลยทั้งสองดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมนำสืบพยานบุคคลหักล้างได้ว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย นอกจากนี้ การที่ห้ามนำสืบพยานบุคคลเพื่อให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร อันเป็นการตัดรอนมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวย่อมขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 อันเป็นกฎหมายพิเศษที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งกำหนดให้เ

ห้ามเปิดเผยประวัติการกระทำความผิดอาญาของเด็กหรือเยาวชน

พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 84 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิเด็กหรือเยาวชน ห้ามมิให้เปิดเผยหรือนำประวัติการกระทำความผิดอาญาของเด็กหรือเยาวชนไปพิจารณาให้เป็นผลร้ายหรือเป็นการเลือกปฏิบัติอันไม่เป็นธรรมแก่เด็กหรือเยาวชนนั้นไม่ว่าในทางใด ๆ เว้นแต่เป็นการใช้ประกอบดุลพินิจของศาลเพื่อกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน หากมีการฝ่าฝืนให้ศาลสั่งระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือเพิกถอนการกระทำนั้น และอาจกำหนดค่าเสียหายหรือบรรเทาผลร้ายหรือมีคำสั่งให้จัดการแก้ไขเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นตามที่เห็นสมควร และวรรคสอง บัญญัติว่า เด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดหรือเป็นจำเลยที่อยู่ในระหว่างการควบคุมดูแลของบุคคลหรือองค์การใด ๆ จะต้องได้รับการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ และส่งเสริมให้มีโอกาสกลับคืนสู่สังคม รวมทั้งได้รับการปฏิบัติด้วยมนุษยธรรมและเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากมีการแสวงหาประโยชน์ การกระทำอันมิชอบ การทรมาน การลงโทษ การปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือต่ำช้ารูปแบบอื่น หรือกระทำการใด ๆ ที่มิได้เป็นไปเพื่อฟื้นฟูร่าง

วาระการดำรงตำแหน่ง EP.4 คณะกรรมการตามกฎหมายเก่าและใหม่ชื่อเดียวกัน แต่องค์ประกอบและวาระการดำรงตำแหน่งต่างกัน (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 1112/2559)

คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาข้อหารือของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เกี่ยวกับการนับวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม โดยกำหนดประเด็นวินิจฉัยว่า กรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม ตามพระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2522 วาระหนึ่ง ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 อีกวาระหนึ่ง จะถือว่ากรรมการนั้นมีวาระการดำรงตำแหน่งสองวาระติดต่อกันหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ได้บัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกำหนดมาตรการและกลไกต่าง ๆ ขึ้นใหม่ โดยมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม และมาตรา 8 ประกอบกับมาตรา 22 กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการ ดังกล่าวไว้ ซึ่งแตกต่างไปจากมาตรา 23 และมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.

วาระการดำรงตำแหน่ง EP.3 ลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 753/2562)

ประเด็นหารือ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ ที่มาจากการเสนอชื่อจากองค์การคนพิการแต่ละประเภทหรือที่คัดเลือกจากการรับสมัครทั่วไปได้ดำรงตำแหน่งจนครบวาระหนึ่งแล้ว และได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกครั้ง แต่ได้ลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ จะถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งสองวาระติดต่อกันหรือไม่ นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) พิจารณาแล้ว เห็นว่ามาตรา 13 ประกอบกับมาตรา 26 แห่ง พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 บัญญัติให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่ต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน โดยวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีความสำคัญว่า ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งหรือได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการในคราวใด ย่อมสามารถดำรงตำแหน่งนั้นได้ตามกำหนดเวลาสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติไว้ และผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งตามวาระไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งจนครบวาระหรือออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระก็ต้องถือว่าได้ดำรงตำแหน่งมาแล้วหนึ่งวาระ ด้วยเหตุนี้ กรณีที่ม

วาระการดำรงตำแหน่ง EP.2 การนับวาระของกรรมการชุดเดิมตามกฎหมายใหม่ (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 685/2564)

สถาบันวัคซีนแห่งชาติเดิมเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตาม พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2555 โดยมี "คณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติ" ซึ่งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ดำรงตำแหน่งครบวาระที่หนึ่งแล้วเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2560  และประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอีกเป็นวาระที่สอง โดยจะครบวาระที่สองในวันที่ 25 ธันวาคม 2564  ในระหว่างการดำรงตำแหน่งวาระที่สอง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ได้มีผลใช้บังคับ   สถาบันวัคซีนแห่งชาติ จึงหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า การนับวาระการดำรงตำแหน่งของประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2555 จะถือเป็นวาระแรกของการดำรงตำแหน่งตามพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 และจะสามารถดำรงตำแหน่งในวาระถัดไปได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 10) พิจารณาแล้ว เห็นว่าเมื่อพิจารณา มาตรา 50 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัต

แชร์ประสบการณ์ : กฎหมายแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด

รูปภาพ
ผมได้รับโอกาสสำคัญให้เป็นผู้แทนหน่วยงาน ในการประชุมคณะกรรมการการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ตาม พระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. 2561 ปัญหาเด็กและเยาวชนกระทำผิดถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อนและเชื่อมโยงกับสังคมทุกมิติ การแก้ไขปัญหาให้ได้ผลดีไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จากที่ผมได้ศึกษาพระราชบัญญัติดังกล่าว ผมคิดว่ากฎหมายนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนกระทำผิด และเป็นทางรอดของสังคมไทยได้เลย  ปัจจุบันผมกำลังสรุปเนื้อหาของกฎหมายเพื่อเผยแพร่ โดยหวังว่าจะมีส่วนช่วยสร้างการรับรู้ และการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายมากขึ้น รอติดตามกันด้วยนะครับ //ขอบพระคุณครับ

สิทธิได้รับค่าเช่าบ้านและสิทธินำหลักฐานค่าเช่าซื้อมาเบิกค่าเช่าบ้าน ย่อมระงับเมื่อทางราชการจัดที่พักให้ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 24/2567 (ประชุมใหญ่))

คดีนี้ผู้ฟ้องคดีรับราชการครั้งแรกที่โรงพยาบาลศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร และย้ายไปปฏิบัติราชการที่สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรง กระทรวงสาธารณสุข ต่อมาเดือนตุลาคม 2548 ได้โอนย้ายไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งเจ้าพนักงานสุขาภิบาล ระดับ 6 สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งไม่ได้รับการจัดที่พักอาศัย เนื่องจากที่พักอาศัยไม่ว่าง ผู้ฟ้องคดีจึงใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการมาตลอดจนถึงเดือนกันยายน 2552 ระหว่างนั้น ผู้ฟ้องคดีได้รับการเลื่อนระดับและตำแหน่งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนสาธารณสุข นักบริหารงานสาธารณสุข 7 ต่อมาเดือนตุลาคม 2552 ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำขออนุมัตินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อมาเบิกค่าเช่าบ้าน และได้รับอนุมัติจากนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ให้นำหลักฐานการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อมาเบิกค่าเช่าบ้านได้ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้มีหนังสือลงวันที่ 31 มีนาคม 2554 แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีเข้าพักอาศัยในบ้านพักขององค์การบริหารส่วนตำบลสำหรับข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งระดับ 7 ตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0808.2/ว 954 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2550 เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการส่วนท้องถิ่น

วาระการดำรงตำแหน่ง EP.1 การนับวาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 753/2562)

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ (กทศ.) ที่มาจากการเสนอชื่อจากองค์การคนพิการแต่ละประเภทได้ดำรงตำแหน่งจนครบวาระหนึ่งแล้ว และวาระต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกวาระหนึ่งต่อเนื่องกับวาระแรก โดยมีที่มาจากการเสนอชื่อจากองค์การคนพิการอีกองค์การหนึ่ง หรือเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คัดเลือกจากการรับสมัครทั่วไป ไม่ซ้ำที่มากันกับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในวาระหนึ่ง จะถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งสองวาระติดต่อกันหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ได้กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหาร กทศ. ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการต่าง ๆ จำนวน 10 คน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการแต่งตั้งจำนวน 11 คน โดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องเป็นผู้แทนจากองค์การคนพิการแต่ละประเภทอย่างน้อย 7 คน ประกอบกับมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติมาตรา 13 มาใช้บังคับกับการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการบริหาร กทศ. โดยอนุโลม เมื่อ

หนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน นำมาฟ้องคดีล้มละลายได้ ไม่จำต้องมีคำพิพากษากำหนดจำนวนหนี้ให้แน่นอน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2567)

หนี้ตามฟ้อง เป็นหนี้ค่าเงินยืมเพื่อทดรองจ่ายในกิจกรรมส่งเสริมการขายและค่าสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อจากโจทก์ เป็นหนี้ที่สามารถกำหนดจำนวนได้แน่นอน และนำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลายได้ โดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีแพ่งหรือให้ศาลในคดีแพ่งมีคำพิพากษาก่อน  พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน มิได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลจะต้องมีคำพิพากษากำหนดจำนวนให้แน่นอนเสียก่อน  จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในมูลหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้  โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามมาตรา 8 (9)  จำเลยมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว พฤติการณ์ของจำเลยที่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ ทั้งยังจดทะเบียนเลิกบริษัท กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่มา - คำ

"ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ต้องตีความโดยเคร่งครัด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2546)

คำว่า  "ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ต้องตีความโดยเคร่งครัด ซึ่งความหมายของข้อความที่ว่า ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลนั้น มิได้หมายถึงเฉพาะผู้ที่มีความสัมพันธ์ในฐานะครูหรืออาจารย์ ซึ่งมีหน้าที่สอนศิษย์เท่านั้น แต่ครูหรืออาจารย์นั้นต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแลปกป้องรักษาตัวศิษย์และกระทำความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติต่อศิษย์ในระหว่างมีหน้าที่ดังกล่าวด้วย จำเลยเป็นเพียงครูหรืออาจารย์สอนกวดวิชาตามที่มีผู้ไปสมัครเรียนตามความสมัครใจ และเมื่อโจทก์ร่วมที่ 2 สมัครเรียนชำระค่าสมัครแล้วจะไปเรียนหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสนใจที่จะใฝ่หาความรู้ แสดงว่า จำเลยไม่มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลปกป้องรักษาโจทก์ร่วมที่ 2 ตลอดระยะเวลาที่ทำการสอน ดังนั้น แม้จำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ 2 ก็มิใช่กระทำต่อศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลย อันจะเป็นผลให้จำเลยต้องรับโทษหนักขึ้น เมื่อการกระทำของจำเลยไม่ต้องด้วยกรณีที่ต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา 285 หากเป็นเพียงความผิดตามมาตรา 276 วรรคแรก และมิได้เกิดต่อหน้าธารกำนัล ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 2 รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย จึงเป็นความผ

การสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และใช้สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 489/2567)

กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้มีหนังสือหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด กรณีมีการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หลายประเด็น หนึ่งในประเด็นดังกล่าวได้หารือว่า กรมฯ จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดและใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดเมื่อพ้น 10 ปีนับแต่วันทำละเมิดได้หรือไม่ หากไม่อาจดำเนินการได้ กรมฯ จะสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกับบุคคลที่ปล่อยปละละเลยให้การใช้สิทธิเรียกร้องขาดอายุความได้หรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เห็นว่า การสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบว่าเจ้าหน้าที่ได้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐหรือไม่ เป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หากเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ และเจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนเท่า

บทยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยรถยนต์ ต้องตีความโดยเคร่งครัด (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2567)

คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคนรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 โจทก์ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลย มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 และสิ้นสุดวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 โดยกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อตกลงว่าด้วยกรณีรถยนต์สูญหายหรือไฟไหม้ ผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ 150,000 บาท  เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565 เวลา 10.10 นาฬิกา โจทก์ขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยแล่นไปจอดที่บริเวณหน้าร้านขายแบตเตอรี่ทุ่งสง 99 แล้วมีคนร้ายลักรถยนต์คันดังกล่าวไป ต่อมาวันที่ 26 มกราคม 2565 เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งว่าพบรถยนต์ที่ถูกคนร้ายลักไปถูกเพลิงไหม้ที่ริมถนนสายเพชรเกษมฝั่งขาออกไปจังหวัดตรัง เยื้องโรงเรียนบ้านเหนือ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ โจทก์แจ้งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยปฏิเสธอ้างว่าเหตุที่รถยนต์สูญหายเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ศาลเห็นว่า การที่โจทก์ขับรถยนต์ที่ทำประกันภัยไว้กับจำเลยแล่นไปจอดริมถนนบริเวณหน้าร้านขายแบตเตอรี่ทุ่งสง 99 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสาธา

จำเลยไม่มาศาล ในกระบวนพิจารณาคดีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5217/2566)

จำเลยทั้งสามรับทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 โดยชอบแล้ว จำเลยทั้งสามต้องมาศาลตามกำหนดนัด แต่จำเลยทั้งสามไม่มาศาลโดยไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี  เมื่อทนายโจทก์แถลงว่ายังไม่ได้รับสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ขอหมายเรียกจากธนาคาร ท. และเป็นเอกสารสำคัญ จึงขอเลื่อนคดี  ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว อนุญาตให้เลื่อนคดีไปพิจารณาวันที่ 26 สิงหาคม 2564 เช่นนี้ หากจำเลยทั้งสามมาศาลในวันนัด จำเลยทั้งสามย่อมทราบวันเวลาที่ศาลเลื่อนพิจารณาออกไป ซึ่งตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 15 วรรคสอง กำหนดว่า ในกรณีที่คู่ความไม่มาศาลในนัดใดไม่ว่าจะได้รับอนุญาตจากศาลหรือไม่ ให้ถือว่าคู่ความนั้นได้ทราบกระบวนพิจารณาของศาลในนัดนั้นแล้ว ดังนี้กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสามทราบกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 26 สิงหาคม 2564 โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสามไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ที่ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณา แล้วให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว  ในการพิจารณาคดีของศาลนั้น หากศาลเห็นว่าเพื่

เจ้าหนี้ไม่ได้เตือนให้ชำระเงิน ลูกหนี้ยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2567)

เงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยที่ 1 เป็นหนี้เงินอย่างหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดให้แก่โจทก์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว" โดยคำเตือนในกรณีนี้คือการทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับ และการทวงถามนั้นโจทก์จะต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เสียก่อน จึงจะถือว่าเป็นคำเตือนโดยชอบ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินตามที่โจทก์ทวงถามแล้วจึงจะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัด  เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนจากจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อจำเลยที่ 2 ต่อมาจำเลยที่ 2 พิจารณาแล้วมีมติยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์จึงนำคดีนี้มาฟ้อง  เมื่อ ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าโจทก์ได้กำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินทดแทนค่าบริการทางการ