สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (ครั้งที่ 3)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (ครั้งที่ 3)
อาจารย์กำชัย จงจักรพันธ์
วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2568
**********
1. สัญญาหลัก 4 สัญญา
1.1 สัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่ว่าด้วยซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ
1.2 ขนส่งระหว่างประเทศ ประเทศไทยมีพ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534
1.3 ประกันภัยทางทะเล ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในเรื่องนี้ ปัจจุบันคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.นี้เสร็จแล้ว
1.4 การเงินและการชำระราคา ในอดีตเคยมีความพยายามยกร่างกฎหมายนี้
2. พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 ใช้กรณีเป็นการขนส่งของทางทะเล
(ถ้าเป็นการขนส่งอื่น ใช้ ป.พ.พ. บรรพ 3 ว่าด้วยการรับขน)
-กรณีพ.ร.บ.การรับขนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ ไม่มีบทบัญญัติบังคับ ก็ใช้ ป.พ.พ. ว่าด้วยการรับขน เคยมีข้อสอบเนติสมัยหนึ่ง ธงคำตอบไม่ได้ตอบตามพ.ร.บ.การรับขนฯ
3. ลักษณะของสัญญารับขนของทางทะเล ม.3
"สัญญารับขนของทางทะเล" หมายความว่า สัญญาที่ผู้ขนส่งรับขนของทางทะเลจากท่าหรือที่ในประเทศหนึ่ง ไปยังท่าหรือที่ในอีกประเทศหนึ่ง โดยคิดค่าระวาง โดยแยกองค์ประกอบให้เห็นสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 ต้องมีคู่สัญญา 2 ฝ่าย คือ ผู้ขนส่ง (carrier) และ ผู้ส่งของ (shipper)
-"ผู้ขนส่ง" หมายความว่า บุคคลซึ่งประกอบการรับขนของทางทะเล เพื่อบำเหน็จเป็นทางการค้าปกติ โดยทำสัญญารับขนของทางทะเลกับผู้ส่งของ
-"ผู้ส่งของ" หมายความว่า บุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญากับผู้ขนส่งในสัญญารับขนของทางทะเล (นิยามนี้ไม่สอดคล้องกับนิยามสากลในอนุสัญญาระหว่างประเทศต่าง ๆ อาจจะดีกว่าหรือไม่ดีกว่าก็ได้)
3.2 ต้องเป็นการขนส่งระหว่างประเทศ
-ฎ.828/2498 การรับขนของทางเรือจากกรุงเทพไปยังสุราษฎร์ธานี เป็นการรับขนของตามชายฝั่งของอ่าวไทยในน่านน้ำไทย ไม่เป็นการรับขนของทางทะเล
-ขนส่งของจากภูเก็บไปมาเลเซีย เป็นการขนส่งของทางทะเล
-ม.4 พ.ร.บ.นี้ให้ใช้บังคับแก่การขนส่งทางทะเลจากที่แห่งหนึ่งในราชอาณาจักรไปยังที่อีกแห่งหนึ่งนอกราชอาณาจักร หรือจากที่แห่งหนึ่งนอกราชอาณาจักรมายังที่อีกแห่งหนึ่งในราชอาณาจักร
3.3 ต้องเป็นการขนส่งที่คิดค่าระวาง
-ค่าระวาง (freight) หมายถึง ค่าตอบแทนที่ผู้ขนส่งได้รับจากการขนส่ง
4. ในคดีการค้าระหว่างประเทศ ปัญหาแรกที่ต้องพิจารณาคือ ปัญหาว่าจะนำกฎหมายใดมาใช้บังคับกับคดี (applicable law) ทั้งนี้เพราะในคดีการค้าระหว่างประเทศจะมีปัญหากฎหมายขัดกันเสมอ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะไม่มีในการค้าภายในประเทศ
4.1 จึงต้องพิจารณาในเบื้องต้นก่อนว่า ศาลจะนำกฎหมายใดมาใช้ในการวินิจฉัยคดี ซึ่งศาลในประเทศไทยต้องพิจารณาจาก พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481 โดยเฉพาะ ม.13 ซึ่งบัญญัติว่า
"ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้ ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติอันเดียวกัน กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติอันเดียวกัน ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น
ถ้าสัญญานั้นได้ทำขึ้นระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง ถิ่นที่ถือว่าสัญญานั้นได้เกิดขึ้นคือถิ่นที่คำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ ถ้าไม่อาจหยั่งทราบถิ่นที่ว่านั้นได้ ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญานั้น"
-ใช้กฎหมายตามที่คู่กรณีตกลงเลือกไว้ (choice of law clause) (เป็นหลักสากลคือ ถ้าคู่สัญญาได้แสดงเจตนาเลือกกฎหมายที่จะใช้บังคับกับคดีไว้ ก็ให้ใช้กฎหมายดังกล่าวบังคับกับคดีตามเจตนาของคู่สัญญา)
-ถ้าไม่ได้เลือกไว้ ให้ใช้กฎหมายที่มีสัญญาร่วมกัน
-ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น
-ถ้าไม่อาจหยั่งทราบได้ ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญานั้น
4.2 อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.การรับขนฯ ม.4 วรรคหนึ่ง (ไม่ได้ใช้หลักนี้เต็ม 100%) บัญญัติว่า "พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับแก่การขนส่งทางทะเลจากที่แห่งหนึ่งในราชอาณาจักรไปยังที่อีกแห่งหนึ่งนอกราชอาณาจักร หรือจากที่แห่งหนึ่งนอกราชอาณาจักรมายังที่อีกแห่งหนึ่งในราชอาณาจักร เว้นแต่ในกรณีที่ได้ระบุในใบตราส่งว่าให้ใช้กฎหมายของประเทศอื่นหรือกฎหมายระหว่างประเทศบังคับก็ให้เป็นไปตามนั้น แต่แม้ว่าจะได้ระบุไว้เช่นนั้นก็ตาม ถ้าปรากฏว่าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ก็ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้บังคับ"
-คนไทยทำการค้าระหว่างประเทศเมื่อใด และมีการใช้ขนส่งทางทะเล ไม่ดูหลัก choice of law clause คดีขึ้นศาลไทย ศาลไทยใช้พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534
5. เมื่อต้องใช้กฎหมายไทยในการวินิจฉัยคดี และเป็นคดีรับขนของทางทะเล ก็ต้องมาพิจารณาต่อไปว่า กรณีนั้น ๆ เป็นคดีรับขนของทางทะเลที่อยู่ภายใต้บังคับใช้ของพ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 หรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาขอบเขตการบังคับใช้พ.ร.บ.การรับขนฯ
5.1 ใช้บังคับกับสัญญาขนส่งของทางทะเลระหว่างประเทศ ม.3 , 4 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
-ขนส่งทางทะเลภายในประเทศ ไม่ใช้พ.ร.บ.นี้
5.2 ใช้บังคับเฉพาะสัญญาขนส่งทางทะเลที่คิดค่าระวาง ม.3 , 4 วรรคสุดท้าย
-ขนส่งโดยไม่คิดค่าระวาง ไม่ใช้พ.ร.บ.นี้
5.3 ไม่ใช้บังคับกับสัญญาจ้างเหมาระวางบรรทุก ม.5 (มีข้อยกเว้น)
-ม.5 "พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่การขนส่งของทางทะเลตามสัญญาจ้างเหมาระวางบรรทุกของเรือไม่ว่าทั้งลำหรือบางส่วน แต่ถ้ามีการออกใบตราส่งสำหรับของที่ขนส่งตามสัญญาจ้างเหมานั้นด้วย หน้าที่และสิทธิของผู้ขนส่งและผู้รับตราส่งซึ่งมิใช่ผู้จ้างเหมาให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้"
*อาจารย์เคยจะออกข้อสอบประเด็นนี้
5.4 ใช้บังคับเฉพาะช่วงของการขนส่งทางทะเล ม.6
-ม.6 "สัญญารับขนของที่มีการขนส่งทางทะเลและทางอื่นรวมอยู่ด้วย ให้อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการขนส่งทางทะเลเท่านั้น"
-การขนส่งทางทะเล ท่าเรือบางท่าก็ไม่ได้อยู่ในทะเล อยู่เข้ามาในแม่น้ำ ถ้าเกิดความเสียหายบริเวณแม่น้ำ จะได้รับความคุ้มครองไหม (อยู่ภายใต้พ.ร.บ.การรับขนฯ ไหม) มีคำพิพากษาฎีกา และเคยออกข้อสอบแล้ว อาจารย์ขอย้ำอีกครั้ง ให้นักศึกษาไปรวบรวมฎีกา จัดกลุ่ม จะได้ประโยชน์มาก ฎีกามีไม่เยอะ ใครสอบอัยการ ผู้พิพากษา ควรเลือกสอบกฎหมายนี้
-ถ้าของไปเสียหายในส่วนที่ไม่ใช่ทางทะเล เป็นแม่น้ำ ผู้ส่งของหรือผู้รับตราส่งไม่ได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.การรับขนฯ
5.5 ใช้บังคับกับสัญญารับขนของทางทะเล ไม่ว่าผู้ขนส่งจะได้ออกเอกสารการขนส่งประเภทใด ม.3
-เอกสารที่ออกและใช้กันในสัญญาขนส่งทางทะเล อาจมีได้หลายประเภท เช่น bill of lading , sea waybill , ship's delivery order , merchant's delivery order , consignment note ไม่ว่าผู้ขนส่งจะออกเอกสารการขนส่งที่เรียกว่าอะไร ก็สามารถอยู่ภายใต้บังคับของพ.ร.บ.การรับขนฯ ได้ ซึ่งต่างจาก Hague rules และ Hague visby rules ที่กำหนดให้ใช้บังคับกับการขนส่งที่มีการออก bill of lading เท่านั้น
-"ใบตราส่ง" หมายความว่า เอกสารที่ผู้ขนส่งออกให้แก่ผู้ส่งของเป็นหลักฐานแห่งสัญญารับขนของทางทะเล แสดงว่าผู้ขนส่งได้รับของตามที่ระบุในใบตราส่งไว้ในความดูแลหรือได้บรรทุกของลงเรือแล้ว และผู้ขนส่งรับที่จะส่งมอบของดังกล่าวให้แก่ผู้มีสิทธิรับของนั้น เมื่อได้รับเวนคืนใบตราส่ง
-"ผู้รับตราส่ง" หมายความว่า
(ก) บุคคลซึ่งมีชื่อระบุไว้ในใบตราส่ง ว่าเป็นผู้รับตราส่ง หรือผู้รับของสำหรับใบตราส่งที่ออกให้แก่บุคคลโดยนาม
(ข) ผู้รับสลักหลังคนสุดท้าย สำหรับใบตราส่งที่ออกให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่ง หรือใบตราส่งที่ออกให้แก่บุคคลโดยนาม และไม่มีข้อห้ามการสลักหลังไว้ หรือ
(ค) บุคคลซึ่งมีชื่อเป็นผู้รับของ ในกรณีที่ไม่มีการออกใบตราส่งหรือมีการออกเอกสารที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น
5.6 ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศราชกิจจานุเบกษา ม.2
-อาจารย์ชวนนักศึกษาคิดตาม ถ้าทำสัญญารับขนของทางทะเล เมื่อ 2533 มีข้อโต้แย้ง เป็นข้อพิพาทสู่ศาลเมื่อ 2536 ศาลจะนำ พ.ร.บ.การรับขนฯ มาใช้ในการวินิจฉัยคดีได้หรือไม่ , ถ้าไม่ได้ ศาลจะนำกฎหมายอะไรมาใช้ตัดสินคดี
ครั้งหน้าจะมาต่อกันในเรื่องเอกสารที่ใช้ในการขนส่งทางทะเล ถ้านักศึกษาเข้าใจจะใช้ตอบคดีความต่าง ๆ ได้ ของเสียหาย สูญหาย ล่าช้า ส่งผิดคน ใครต้องรับผิด ให้นักศึกษาไปอ่าน 39 , 28 , 29 , 30 , 31 แล้วตั้งใจฟังครั้งหน้า
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น