สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (ครั้งที่ 15-16) ครั้งสุดท้าย

สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (ครั้งที่ 15-16) ครั้งสุดท้าย
อาจารย์วรวุฒิ ทวาทศิน
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568
**********

1. หัวข้อบรรยายวันนี้ ไม่ค่อยมีฎีกาใหม่ 

2. เลตเตอร์ออฟเครดิต (documentary letter of credit)
-Letter of Credit : L/C คือ ตราสารทางการเงินหรือหนังสือรับรองเครดิตที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ ตามคำสั่งของผู้ซื้อที่อยู่ในประเทศหนึ่ง ออกให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับผลประโยชน์ที่อยู่ในอีกประเทศหนึ่ง โดยส่งผ่านธนาคารผู้รับแจ้งการเปิดเครดิตในประเทศของผู้ขายหรือผู้รับผลประโยชน์
-เพื่อรับรองว่าเมื่อผู้ขายปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในเครดิตทุกประการแล้ว ธนาคารผู้เปิดเครดิตจะชำระเงินให้แก่ผู้รับผลประโยชน์โดยไม่มีเงื่อนไข

3. ทำไมต้องใช้ L/C
-ผู้ซื้อและผู้ขายไม่รู้จักกันดีพอ เพิ่งติดต่อซื้อขายกัน
-ผู้ซื้อและผู้ขายไม่เชื่อใจกันและกัน
-ผู้ขายมีความมั่นใจว่าจะได้รับเงินแน่นอน เพราะมีธนาคารประกันการชำระเงินเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขใน L/C
-ผู้ซื้อมั่นใจว่าจะได้รับสินค้าตรงตามกำหนดและราคาที่ตกลงกันไว้ เพราะผู้ขายต้องผลิตสินค้าและส่งออกไปก่อน จึงจะส่งเอกสารไปเรียกเก็บเงินได้

4. ความรับผิดชอบของธนาคารผู้เปิด L/C "สินค้าไม่ยุ่ง มุ่งเอกสาร"
-ผูกพันและรับผิดชอบเฉพาะเอกสาร , ผูกพันและรับผิดชอบตามประเพณีและพิธีปฏิบัติเกี่ยวกับเครดิตที่มีเอกสารประกอบ 
-ไม่ผูกพันรับผิดชอบตามสัญญาซื้อขาย

5. หลักการสำคัญ 2 ประการ
-หลักความเป็นอิสระ สัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งแยกต่างหากจากสัญญาซื้อขายหรือสัญญาอื่นที่เป็นต้นเหตุให้มีการทำสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต ไม่ว่าสัญญาที่เป็นต้นเหตุให้มีการทำสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตนี้จะมีการผิดนัดหรือไม่ปฏิบัติตามสัญญา ธนาคารผู้เปิดเครดิตยังมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตถ้าผู้รับประโยชน์ปฏิบัติถูกต้องครบตามเงื่อนไขในเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้น
-ฎ.775/2525 (ป) , 1561/2529 ธนาคารมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่ผู้รับประโยชน์ซึ่งเป็นผู้ขาย หากผู้รับประโยชน์ยื่นเอกสารถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในเลตเตอร์ออฟเครดิต แม้ว่าสินค้าที่ส่งมายังผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้ขอเปิดเครดิตที่ปลายทางจะไม่ถูกต้องตรงตามสัญญาซื้อขาย
-หลักการปฏิบัติโดยเคร่งครัด ธนาคารไม่ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงหรือหลักฐานอื่น แต่พิจารณาเฉพาะเอกสารที่ผู้รับประโยชน์นำมายื่นเท่านั้น ว่าเอกสารนั้นถูกต้องตรงตามเงื่อนไขในเลตเตอร์ออฟเครดิตหรือไม่ ธนาคารไม่จำต้องตรวจสอบว่าเอกสารนั้นออกมาโดยถูกต้องหรือไม่ หรือผู้มีชื่อรับรองเอกสารได้รับรองจริงหรือไม่ ต้องถือหลักการปฏิบัติโดยเคร่งครัดในการตรวจสอบเอกสาร
-ธนาคารมีเวลาไม่เกิน 5 วันทำการของธนาคาร นับจากวันที่มีการยื่นเอกสาร แล้วแจ้งแก่ผู้รับประโยชน์ว่าจะรับเอกสารเพราะเห้นว่าถูกต้อง หรือปฏิเสธไม่รับเอกสารเพราะไม่ถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขในเลตเตอร์ออฟเครดิต
-ธนาคารจะไม่ตรวจสอบเอกสารที่ไม่มีระบุไว้ในเลตเตอร์ออฟเครดิต และหากธนาคารรับเอกสารนั้นไว้ ก็ต้องคืนเอกสารนั้นให้แก่ผู้ยื่น
-มาตรฐานการตรวจสอบเอกสารของธนาคาร หากเลตเตอร์ออฟเครดิตกำหนดให้ผู้รับประโยชน์ยื่นใบตราส่งชนิดที่บรรทุกลงเรือแล้ว การที่ผู้รับประโยชน์ยื่นใบตราส่งชนิดที่แสดงว่าผู้ขนส่งได้รับของไว้ในความดูแลเพื่อส่งลงเรือ ถือว่าไม่ถูกต้อง
-หากเลตเตอร์ออฟเครดิตระบุว่า ต้องนำใบตราส่งเป็นชุดมายื่น ปกติจะมี 3 ฉบับ ผู้รับประโยชน์ก็ต้องนำใบตราส่งทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งเป็นชุดนั้นยื่นให้ธนาคาร
-ประเทศไทยถือตาม UCP600 คือ ตรวจสอบเอกสารเฉพาะตามที่ปรากฏอยู่ในหน้าเอกสาร
-ข้อยกเว้นหลักการปฏิบัติโดยเคร่งครัด คือ การฉ้อฉล Fraud คือ การนำข้อความที่เป็นเท็จมาระบุในเอกสารหรือปลอมเอกสารขึ้นมา สันนิษฐานว่าธนาคารไม่มีความรับผิดเกี่ยวกับความถูกต้องแท้จริงของเอกสาร เพราะปกติธนาคารย่อมไม่ทราบว่าเอกสารนั้นปลอมหรือไม่ หรือข้อความในเอกสารเป็นเท็จหรือไม่ (ประเทศไทยยังไม่มีคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องนี้)

6. นิติสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีใน L/C
6.1) ผู้ขอเปิดเครดิต (ผู้ซื้อ) กับ ผู้เปิดเครดิต (ธนาคาร)
-ฎ.3338/2526 สัญญาระหว่างธนาคารผู้เปิดเครดิตโจทก์ และผู้ขอเปิดเครดิตจำเลย เป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง แต่ไม่ถือเป็นสัญญาตัวแทน 
6.2) ธนาคารผู้เปิดเครดิต กับ ผู้รับประโยชน์ (ผู้ขาย)
-ธนาคารผู้เปิดเครดิตได้เปิดเครดิตและแจ้งการเปิดเครดิตไปยังผู้รับประโยชน์ถือเป็นคำเสนอ และเมื่อผู้รับประโยชน์ตรวจดูเงื่อนไขในเลตเตอร์ออฟเครดิตเห็นว่าถูกต้องจึงได้จัดส่งสินค้าตามที่ระบุในเลตเตอร์ออฟเครดิต ถือว่าตกลงตามคำเสนอเป็นคำสนองก่อให้เกิดเป็นสัญญา เรียกว่าสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตระหว่างผู้รับประโยชน์กับธนาคารผู้เปิดเครดิต
6.3) ธนาคารผู้เปิดเครดิต กับ ธนาคารผู้ได้รับมอบหมายหรือธนาคารผู้แจ้งเครดิตหรือธนาคารผู้ยืนยันเครดิต
-มีนิติสัมพันธ์ตามสัญญาตัวแทน กรณีธนาคารได้เป็นผู้ยืนยันเครดิตด้วย ถือเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนตัวที่จะต้องชำระหนี้ แต่ก็มีสิทธิได้รับชำระค่าธรรมเนียมการยืนยันเครดิตจากธนาคารผู้เปิดเครดิตด้วย
6.4) ธนาคารผู้แจ้งเครดิต กับ ผู้รับประโยชน์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กัน
6.5) ธนาคารผู้ยืนยันเครดิต กับ ผู้รับประโยชน์ 
-ธนาคารยืนยันรับรองกับผู้รับประโยชน์ว่าจะมีการจ่ายเงินตามสัญญา L/C

7. หากผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้ขอเปิดเครดิต ยังไม่มีเงินชำระแก่ธนาคาร แต่ต้องการได้เอกสารการส่งสินค้า เพื่อไปรับสินค้าจากผู้ขนส่ง นำไปขายหรือใช้ผลิตสินค้าออกขายก่อน แล้วจึงนำเงินที่ได้จากการขายสินค้ามาชำระหนี้แก่ธนาคาร จึงต้องมีการทำสัญญากับอีกฉบับหนึ่งเรียกว่า "สัญญาทรัสต์รีซีท" Trust Receipt
-ผู้ให้สัญญาคือผู้ซื้อสินค้าหรือผู้ขอเปิดเครดิต ตกลงให้กรรมสิทธิ์ในสินค้าเป็นของธนาคาร (กรรมสิทธิ์โอน)
-ธนาคารตกลงมอบเอกสารเกี่ยวกับการส่งสินค้า รวมทั้งสลักหลังใบตราส่งให้แก่ผู้ให้สัญญา เพื่อนำไปใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากรและรับสินค้าจากผู้ขนส่ง
-ผู้ให้สัญญาตกลงว่าเมื่อรับสินค้าแล้ว จะแจ้งให้ธนาคารทราบและแสดงหลักฐานว่าเก็บสินค้าไว้ที่ใด
-คู่สัญญาตกลงชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารเมื่อขายสินค้าได้ คือนำสินค้านั้นไปผลิตเป็นสำเร็จรูปและขายสินค้าสำเร็จรูปนั้นได้ ครบกำหนดตามสัญญาทรัสต์รีซีทกรณีเป็นสินค้าประเภททุน (ประเภทเครื่องจักร)
-สัญญาทรัสต์รีซีทมักกำหนดเงื่อนไขว่า หากผู้ขอเปิดเครดิต ปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ถือว่าผิดสัญญา และธนาคารมีสิทธิเข้าครอบครองสินค้าได้ทันที เพราะถือว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในสินค้า
-ฎ.1848/2505 สัญญาทรัสต์รีซีทเป็นสัญญาที่มีผลใช้บังคับกันได้ และสิทธิเรียกร้องตามสัญญาทรัสต์รีซีท ไม่ใช่สัญญาหนึ่งสัญญาใดที่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้ จึงมีอายุความ 10 ปี
-ฎ.1010/2524 , 2157/2524 การทำสัญญาทรัสต์รีซีทไม่ได้เป็นการแปลงหนี้ใหม่ หนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตยังไม่ระงับ สัญญาทรัสต์รีซีทมีลักษณะเป็นสัญญาที่ต่อเนื่องกับสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต (เคยออกข้อสอบเนติ)

ข้อสอบข้อ 9 นี้ ห้ามทิ้งเด็ดขาด ดูข้อสอบเก่า วิธีการตอบข้อสอบ ตอบข้อสอบให้เหมือนธงคำตอบ เป็นการตอบที่ถูกต้อง ไม่เสียเวลา ไม่เยิ่นเย้อ ปากกาไม่ควรใช้หมึกจาง อ่านยาก เขียนให้อ่านให้ออก , นักศึกษาต้องทบทวน พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเลฯ แยกวิเคราะห์ตามคำถาม การคำนวณความรับผิดของผู้ขนส่ง กิโลกรับละ 30 บาท , 10,000 บาทต่อหน่วยการขนส่ง , ถ้าส่งมอบชักช้าอย่างเดียวก็สองเท่าครึ่งของค่าระวางที่เสียหายแต่ไม่เกินค่าระวางทั้งหมดของผู้ส่งของ (อย่าสับสน ไม่ใช่ค่าระวางทั้งหมดของเรือ) 

***จบการบรรยาย***

ความคิดเห็น

10 บทความยอดนิยมประจำสัปดาห์

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 (55 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (30 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (44 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (ชุดที่ 1)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 (39 ข้อ)

สาระสำคัญ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (ฉบับเตรียมสอบ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.วิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. 2556 (ชุดที่ 1)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 (ชุดที่ 1)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ชุดที่ 1)