ชำระดอกเบี้ยที่เรียกเกินอัตราไปแล้ว มีจำนวนมากกว่าหนี้ต้นเงินกู้ ไม่มีหนี้ที่จะบังคับกันได้อีกต่อไป (ฎ.1160/2568)
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า สัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 บัญญัติว่า "อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน"
ดังนั้น ลักษณะสำคัญของสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงต้องเป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีพิพาท เพื่อระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไปและคู่กรณีต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน
เมื่อพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งแล้ว เป็นสัญญาที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดตราดได้ทำการไกล่เกลี่ยเรื่องการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์ผู้ถูกร้องกับจำเลยทั้งสี่ผู้ร้อง จำเลยทั้งสี่ตกลงจะชำระหนี้ต้นเงินกู้ 1,930,000 บาท ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน โดยผ่อนชำระหนี้เป็นงวดรายเดือน ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50,000 บาท ไม่เกิน 39 งวด นับแต่งวดสิ้นเดือนสิงหาคม 2562 เป็นต้นไป โจทก์ยินยอมไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสี่ และคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีใดต่อกันตามสัญญากู้เงินที่มีก่อนหน้านี้ และจะผูกพันต่อกันตามสัญญานี้ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันที
ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่ตกลงระงับข้อพิพาทในเรื่องการกู้ยืมเงินซึ่งมีมาก่อนวันทำสัญญาให้เสร็จสิ้นไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันแล้ว มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นฝ่ายยอมผ่อนผันเพียงฝ่ายเดียวแต่อย่างใด สัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง จึงมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์อีกข้อหนึ่งว่า จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งว่า มูลหนี้เดิมเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กู้เงินไปจากโจทก์หลายครั้งนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา คิดเป็นต้นเงินกู้รวม 1,930,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และจำเลยทั้งสี่ได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ไปแล้วรวม 2,900,000 บาทเศษ แต่ยังมิได้ชำระต้นเงิน อีกทั้งในชั้นสืบพยานโจทก์เบิกความรับว่า ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง จำเลยทั้งสี่ชำระผลตอบแทนการกู้เงินให้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2562 โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงรับฟังได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งดังกล่าวว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้อัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และจำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 2,900,000 บาทเศษ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์อีกข้อหนึ่งว่า จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งว่า มูลหนี้เดิมเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กู้เงินไปจากโจทก์หลายครั้งนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา คิดเป็นต้นเงินกู้รวม 1,930,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และจำเลยทั้งสี่ได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ไปแล้วรวม 2,900,000 บาทเศษ แต่ยังมิได้ชำระต้นเงิน อีกทั้งในชั้นสืบพยานโจทก์เบิกความรับว่า ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง จำเลยทั้งสี่ชำระผลตอบแทนการกู้เงินให้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2562 โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงรับฟังได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งดังกล่าวว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้อัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และจำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 2,900,000 บาทเศษ
ดังนั้น การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้อัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน จากจำเลยทั้งสี่ จึงเป็นอัตราที่เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ประกอบกับการเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราดังกล่าวย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) ข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด
เมื่อข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะแล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่อาจเรียกร้องให้คืนดอกเบี้ยที่ชำระฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายได้ ส่วนโจทก์ผู้ให้กู้ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยดังกล่าวด้วย กรณีต้องนำดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสี่ชำระให้แก่โจทก์ 2,900,000 บาทเศษ ไปหักชำระต้นเงินกู้ซึ่งไม่ตกเป็นโมฆะ
เมื่อดอกเบี้ยที่ชำระไปแล้วมีจำนวนมากกว่าหนี้ต้นเงินกู้ ย่อมไม่มีมูลหนี้เงินกู้ที่จะบังคับกันได้ตามกฎหมายอีกต่อไป และไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่จะให้จำเลยทั้งสี่จะต้องทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทเรื่องเงินกู้กับโจทก์แต่อย่างใด เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งไม่มีมูลหนี้ จำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวให้แก่โจทก์
ที่มา ระบบสืบค้นคำพิพากษา คำสั่งคำร้องและคำวินิจฉัยศาลฎีกา
ที่มา ระบบสืบค้นคำพิพากษา คำสั่งคำร้องและคำวินิจฉัยศาลฎีกา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น