สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายทรัพย์ ที่ดิน (ครั้งที่ 13-14)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายทรัพย์ ที่ดิน (ครั้งที่ 13-14)
อาจารย์สุธาทิพ ยุทธโยธิน
วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2568
**********
1. วันนี้เป็นการทบทวนในส่วนที่อาจารย์รับผิดชอบ
-มาตราที่มีฎีกาเยอะ มักจะมีปัญหา และมักจะนำมาออกข้อสอบเสมอ
-การศึกษากฎหมายเพื่อให้สอบผ่าน ตัวบทกฎหมาย+อธิบาย คำบรรยาย คำอธิบาย+ตัวอย่างฎีกา
-การตอบข้อสอบ ธงถูกแต่เหตุผลไม่ดี กับธงไม่ถูกแต่เหตุผลดี ตามหลักการแล้วคะแนนพอ ๆ กัน
2. วิชาทรัพย์ ที่ดิน
-ทรัพย์ ทรัพย์สิน บรรพ 1 ลักษณะ 3 ม.137-148 บทนิยาม บทเสริม ใช้เสริมในการตอบข้อสอบ จะได้คะแนนเพิ่มขึ้น ทรัพย์คืออะไร ทรัพย์สินคืออะไร ส่วนควบ อุปกรณ์ แทรกเข้าไป
-ทรัพยสิทธิ บรรพ 4 ม.1298-1434 มีมาตราเด่น ๆ ไม่เยอะ ประมาณ 5-6 มาตรา
3. ทรัพย์ ม.137
-ทรัพย์สิน ม.138 "อาจมีราคาและถือเอาได้"
--อสังหาริมทรัพย์ ม.139 , สังหาริมทรัพย์ ม.140
--ส่วนควบ ม.144-146
--ดอกผล ม.148
--ทรัพย์แบ่งได้ ม.141 , ทรัพย์แบ่งไม่ได้ ม.142
--ทรัพย์นอกพาณิชย์ ม.143
--ทรัพย์ของแผ่นดิน ม.1304
--อุปกรณ์ ม.147
4. ม.1299 การได้มาซึ่งทรัพยสิทธิ์ ออกข้อสอบบ่อย ม.1299 จะใช้เมื่อการได้มาไม่สมบูรณ์ ต้องมาดูว่าใครมีสิทธิดีกว่ากัน (ถ้าได้มาสมบูรณ์ จดทะเบียนเรียบร้อย ก็อาจจะไม่เข้าม.1299)
4.1) ม.1299 วรรคหนึ่ง ทางนิติกรรม
-ยกอสังหาริมทรัพย์ตีใช้หนี้
-ก่อตั้งทรัพยสิทธิ
-สัญญาประนีประนอมยอมความในศาล*
-มรดก* และอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กรรมสิทธิ สิทธิครอบครอง
*ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ไม่จดทะเบียน ไม่บริบูรณ์ เป็นบุคคลสิทธิ บังคับได้เฉพาะคู่สัญญา
4.2) ม.1299 วรรคสอง ทางอื่นนอกจากทางนิติกรรม
-ตามกฎหมาย เช่น ปรปักษ์ ภาระจำยอม
-คำพิพากษา (ไม่ใช่คำพิพากษาตามยอม)
-มรดก ที่เป็นกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง
*ถ้าไม่จดทะเบียน จะเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ ยกต่อสู้บุคคลภายนอกซึ่งได้เสียค่าตอบแทนสุจริตและจดทะเบียนโดยสุจริตไม่ได้
5. ม.1300 การเพิกถอนการจดทะเบียน ผู้อยู่ในฐานะอันที่จะจดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อน
5.1) ทางนิติกรรม ม.1299 วรรคหนึ่ง
-ผู้ชำระราคาครบถ้วนและครอบครองแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อ
-ผู้ซื้อทรัพย์โดยคำสั่งศาลจากการขายทอดตลาดโดยสุจริต
-ผู้ได้มาตามคำพิพากษาตามยอมของศาล แต่ต้องเป็น 10 ปี หากเกิน จะใช้ม.1300
*เพิกถอนไม่ได้ หากบุคคลภายนอกได้มาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนโดยสุจริต
5.2) ทางอื่น ม.1299 วรรคสอง
-โดยการครอบครองปรปักษ์
-โดยคำพิพากษาของศาล
-โดยการรับมรดกแต่ยังไม่ได้จดทะเบียน
*เพิกถอนไม่ได้ หากบุคคลภายนอกได้มาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนโดยสุจริต
6. การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์
6.1) ส่วนควบ ม.1308-1317 เช่น ที่งอกริมตลิ่ง การสร้างโรงเรือนในที่ผู้อื่นโดยสุจริตใครเป็นเจ้าของ ม.1310 , 1312 , 1313
6.2) การถือเอา ม.1318-1322 เช่น ทรัพย์สินหาย สละการครอบครอง
7. ฎีกาที่น่าสนใจ
-ฎ.1069-1070/2522 โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินมาโดยการรับมรดก ต้องรับไปทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ โจทก์จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้ได้กรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนตามที่บัญญัติไว้ในม.1299 จำเลยจึงยกกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอันได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ แม้จำเลยจะยังมิได้จดทะเบียนการได้มาก็ตาม
-ฎ.18606/2556 (เจ้าหนี้จำนอง เป็นบุคคลภายนอก แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงเจ้าหนี้สามัญ) แม้การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ตามม.1382 เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่งม.1299 จะห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วก็ตาม แต่โจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและนำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาด มิใช่ผู้ที่ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตามม.1299 วรรคสอง จึงไม่เป็นบุคคลภายนอกที่จะมีสิทธิดีกว่าผู้ร้อง และแม้ขณะโจทก์ยึดที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ถือว่าเป็นการยึดโดยชอบก็ตาม แต่เมื่อต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามม.1300
-ฎ.6354/2540 แม้จำเลยที่ 2 จะได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับพระภิกษุส. ไว้แล้ว ตั้งแต่ปี 2528 และชำระราคาครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่พระภิกษุ ส. ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 จนพระภิกษุ ส. ถึงแก่มรณภาพในปี 2530 เมื่อชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังเป็นของพระภิกษุ ส. อยู่ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินของพระภิกษุ ส. ที่ได้มาระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ซึ่งม.1623 ให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาในขณะที่พระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพ ดังนั้น เมื่อพระภิกษุ ส. ถึงแก่มรณภาพกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นสมบัติของวัดศรีบุญเรืองตามกฎหมายและถือว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดศรีบุญเรืองด้วย ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ม.33(2) กรณีต้องบังคับตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฯ ม.34 ซึ่งบัญญัติให้ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติฯ และห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องสิทธิอันเป็นที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ ดังนั้น จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของพระภิกษุ ส. หรือวัดศรีบุญเรือง จึงไม่มีอำนาจทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลใด ๆ ได้ การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นโมฆะตามม.150
-ฎ.8698/2549 ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ได้ชำระราคาครบถ้วนและเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว คงเหลือแต่การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ร้องเท่านั้น ถือได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ม.1300 และโดยเหตุที่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ ตาม ป.วิ.พ. ม.287 โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดีอันเป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องตามบทกฎหมายดังกล่าว
-ฎ.7143/2546 (ป) เมื่อโจทก์ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยชำระเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยร่วมครบถ้วนแล้ว ที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นของโจทก์และเป็นการได้มาโดยทางนิติกรรมตามม.1299 วรรคหนึ่ง แม้จะยังมิได้มีการจดทะเบียน ก็ไม่มีผลให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ เพียงแต่ทำให้ไม่บริบูรณ์ถึงขั้นเป็นทรัพยสิทธิ แต่ระหว่างคู่กรณีย่อมมีผลผูกพันต่อกันในฐานะเป็นบุคคลสิทธิ ทำให้โจทก์มีสิทธิเข้ายึดถือครอบครองใช้ยันจำเลยร่วมได้ และมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยร่วมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้ด้วย เมื่อโจทก์ได้เข้าทำการปรับปรุงบริเวณที่ดินพิพาทตลอดมา เพื่อจะสร้างอาคารโรงเรียนขึ้นใหม่ในลักษณะแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของ การที่จำเลยเข้าไปปลูกเพิงอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าอาศัยสิทธิของจำเลยร่วมจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยร่วม
-ฎ.1840/2514 (ป) การได้มาซึ่งสิทธิอาศัยอันเป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยพินัยกรรม เป็นการได้สิทธิมาโดยนิติกรรมตามม.1299 วรรคหนึ่ง จำเลยร่วมมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิอาศัยกับพนักงานเจ้าหน้าที่สิทธิอาศัยของจำเลยร่วมจึงไม่บริบูรณ์ การที่จำเลยเข้าอยู่ในเรือนพิพาทเพราะจำเลยร่วมให้เข้าอยู่แทนตนโดยโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมผู้หนึ่งมิได้ยินยอมเป็นการละเมิดต่อโจทก์
-ฎ.8698/2549 ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ได้ชำระราคาครบถ้วนและเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว คงเหลือแต่การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ร้องเท่านั้น ถือได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ม.1300 และโดยเหตุที่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ ตาม ป.วิ.พ. ม.287 โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดีอันเป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องตามบทกฎหมายดังกล่าว
-ฎ.7143/2546 (ป) เมื่อโจทก์ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยชำระเงินค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยร่วมครบถ้วนแล้ว ที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นของโจทก์และเป็นการได้มาโดยทางนิติกรรมตามม.1299 วรรคหนึ่ง แม้จะยังมิได้มีการจดทะเบียน ก็ไม่มีผลให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ เพียงแต่ทำให้ไม่บริบูรณ์ถึงขั้นเป็นทรัพยสิทธิ แต่ระหว่างคู่กรณีย่อมมีผลผูกพันต่อกันในฐานะเป็นบุคคลสิทธิ ทำให้โจทก์มีสิทธิเข้ายึดถือครอบครองใช้ยันจำเลยร่วมได้ และมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยร่วมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้ด้วย เมื่อโจทก์ได้เข้าทำการปรับปรุงบริเวณที่ดินพิพาทตลอดมา เพื่อจะสร้างอาคารโรงเรียนขึ้นใหม่ในลักษณะแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของ การที่จำเลยเข้าไปปลูกเพิงอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าอาศัยสิทธิของจำเลยร่วมจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยร่วม
-ฎ.1840/2514 (ป) การได้มาซึ่งสิทธิอาศัยอันเป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยพินัยกรรม เป็นการได้สิทธิมาโดยนิติกรรมตามม.1299 วรรคหนึ่ง จำเลยร่วมมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิอาศัยกับพนักงานเจ้าหน้าที่สิทธิอาศัยของจำเลยร่วมจึงไม่บริบูรณ์ การที่จำเลยเข้าอยู่ในเรือนพิพาทเพราะจำเลยร่วมให้เข้าอยู่แทนตนโดยโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมผู้หนึ่งมิได้ยินยอมเป็นการละเมิดต่อโจทก์
-ฎ.677/2542 โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดิน ตามข้อกำหนดในพินัยกรรมให้แก่โจทก์ซึ่งมีสิทธิบริบูรณ์ตามม.1299 วรรคหนึ่ง
-ฎ.2229/2542 ท. เจ้าของที่ดินเดิมยินยอมให้ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ อันเป็นกรณีที่โจทก์ได้ภาระจำยอมโดยทางนิติกรรมก็ตาม แต่เมื่อยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาย่อมไม่บริบูรณ์ตามม.1299 วรรคหนึ่ง และคงใช้บังคับได้ในฐานะบุคคลสิทธิเฉพาะโจทก์กับท. ซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น แต่ไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกด้วย เมื่อ ท. ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลย ถือว่าจำเลยเป็นบุคคลภายนอก ทั้งในเรื่องให้หาได้มีบทบัญญัติให้ผู้รับต้องรับหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ของผู้ให้ไปด้วยอย่างกรณีทายาทรับมรดกไม่ ความยินยอมดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันให้จำเลยต้องจดทะเบียนภารจำยอมหรือเปิดทางพิพาทแก่โจทก์
-ฎ.12885/2556 โจทก์ทั้งสามได้ทางพิพาท เป็นภาระจำยอมโดยทางนิติกรรมเป็นการได้มาตามม.1299 วรรคหนึ่ง มิได้จดทะเบียนจึงไม่บริบูรณ์ เป็นบุคคลสิทธิ จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลภายนอกรับโอนที่ดินมาโดยทราบเรื่องทางดังกล่าว ต่อมาขอย้ายทางเดิมอันเป็นการตกลงให้ภาระจำยอมใหม่ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิปิดกั้นทาง
-ฎ.5791/2556 ข้อตกลงตั้งภาระจำยอม แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นเพียงทำให้การได้มาซึ่งภาระจำยอมนั้นไม่บริบูรณ์ตามม.1299 วรรคหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะหรือเสียเปล่าแต่อย่างใด ยังคงบังคับกันได้เป็นบุคคลสิทธิในระหว่างจำเลยซึ่งต้องผูกพันชำระหนี้ตามสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกกับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ โจทก์ย่อมบังคับให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมได้
-ฎ.2070/2548 โจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท โจทก์มิใช่ผู้ที่ได้สิทธิในที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จึงมิใช่บุคคลภายนอกที่ได้รับความคุ้มครองตามม.1299 วรรคสอง
-ฎ.800/2500 (ป) จำเลยซื้อที่ดินมาโดยสุจริต โดยไม่รู้ว่าที่ดินตกอยู่ในภาระจำยอม จำเลยจะยกเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภาระจำยอมสิ้นไปไม่ได้ (ในกรณีเป็นภาระจำยอมตามกฎหมาย ทรัพยสิทธิคนละประเภท ศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลล่าง)
-ฎ.3641/2535*** จ.ขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์รับซื้อไว้โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริต กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นของโจทก์ตั้งแต่วันขายฝากตามม.491 ดังนั้น แม้จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปีจนได้กรรมสิทธิ์และศาลพิพากษาให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทก็ตาม เมื่อจำเลยมิได้จดทะเบียนการได้มาในที่ดินพิพาทจำเลยก็ไม่อาจยกขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตได้ตามม.1299 วรรคสอง
-ฎ.1090/2558 ส.ซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต จำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทโดยยังไม่ได้จดทะเบียน เป็นการได้มาตามม.1299 วรรคสอง ต่อมาโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินต่อจาก ส. ไม่ว่าโจทก์ทั้งสองจะสุจริตหรือไม่ จำเลยยกข้อต่อสู้ตามม.1299 วรรคท้าย ไม่ได้ (สิทธิที่จะอ้างข้อกฎหมายดังกล่าว ขาดช่วงไปแล้ว)
-ฎ.5099/2557 ค. ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท น.ส.3ก ให้ ผ. แต่ไม่ได้จดทะเบียน ผ.เข้าครอบครองกับทำประโยชน์ ต่อมายกที่ดินพิพาทให้แก่ บ. เข้าทำประโยชน์ และจากนั้นยกต่อให้แก่โจทก์เข้าทำประโยชน์ ค.เอาที่ดินพิพาทไปออกโฉนด และไปจำนองกับจำเลย เป็นการกระทำโดยไม่มีสิทธิ กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ม.1299 วรรคสอง ที่จำเลยจะกล่าวอ้างได้
-ฎ.1886/2536 จำเลยทั้งสามได้ไปจดทะเบียนรับโอนมรดกที่พิพาทอันเป็นเวลาภายหลังที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วจำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการรับมรดกต้องรับไปทั้งสิทธิและตลอดจนความรับผิดต่าง ๆ จำเลยทั้งสามจึงมิใช่บุคคลภายนอกผู้ได้กรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนตามม.1299 วรรคสอง โจทก์ผู้ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยครอบครองปรปักษ์ ซึ่งบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแล้ว จึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยทั้งสาม และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าว ที่ทำให้ตนเสียเปรียบได้ ตามม.1300
-ฎ.2413/2566*** ขณะโจทก์ทั้งสองซื้อโฉนดที่ดินพิพาท ตามสารบัญการจดทะเบียนปรากฏทรัพยสิทธิ คือ ภาระจำยอมบนที่ดินของจำเลย โดยจำเลยมิได้ใช้สิทธิโต้แย้งทรัพยสิทธิดังกล่าว โจทก์ทั้งสองย่อมเข้าใจโดยสุจริตว่าภาระจำยอมยังคงอยู่ แม้ทางภาระจำยอมพิพาทจะไม่มีการใช้ประโยชน์เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ย่อมระงับสิ้นไปตามม.1399 แต่เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ยังมิได้จดทะเบียนระงับภาระจำยอมนั้น จำเลยจะยกเอาการระงับแห่งภาระจำยอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับโอนสามยทรัพย์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่
-ฎ.120/2559 โจทก์และจำเลยทำสัญญาขายฝาก โจทก์ผู้ซื้อขายปล่อยให้จำเลยผู้ขายฝากสร้างบ้านไม่มีเลขที่ในที่ดินที่ขายฝาก โดยไม่ห้ามปราม จำเลยย่อมเข้าใจว่าตนมีสิทธิ สามารถไถ่คืนที่ดินได้ในกำหนด เป็นกรณีสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตตามม.1310 โจทก์เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของโรงเรือนต้องใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้น การปล่อยให้สร้างถือว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อ บอกปัดไม่รับโรงเรือนไม่ได้
-ฎ.339/2551 สิทธิอาศัยในโรงเรือนเป็นบุคคลสิทธิ เมื่อจำเลยทั้งสองรื้อโรงเรือน สิทธิอาศัยจึงหมดไป จำเลยทั้งสองปลูกบ้านใหม่ โดยไม่ได้รับความยินยอม ไม่ก่อให้เกิดสิทธิอาศัยขึ้นใหม่ เป็นการปลูกโรงเรือนในที่ดินผู้อื่นโดยไม่สุจริตตามม.1311 จำเลยทั้งสองต้องทำให้เป็นดังเดิม
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น