สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายนิติกรรม สัญญา (ครั้งที่ 1-3)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายนิติกรรม สัญญา (ครั้งที่ 1-3)
อาจารย์นรินทร ตั้งศรีไพโรจน์
วันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568
**********
1. นักศึกษาดูคู่มือการศึกษาเนติ กฎหมายบางเรื่องไม่ได้ออกข้อสอบ , ดูหลักเกณฑ์การสอบ การให้คะแนน เช่น ตอบถูกธง ไม่มีเหตุผล ได้ 0-1 คะแนน เราต้องใส่เหตุผลเข้าไป เป็นเพราะอะไร โดยใส่หลักกฎหมาย กับเหตุและผลเข้าไป
ข้อ 1 ทรัพย์ที่ดิน ไม่ออกประมวลกฎหมายที่ดิน ก็ต้องแม่นบรรพ 4
ข้อ 2 ส่วนใหญ่ออกนิติกรรม สัญญา หนี้ (ปีที่แล้วออกนิติกรรม ถ้าเป็นติวเตอร์ก็ต้องเก็งปีนี้ออกหนี้)
ข้อ 3 ละเมิด (99%)
ข้อ 4 ซื้อขาย เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ (เช่าซื้อไม่ค่อยได้ออก เป็นแนวของคดีผู้บริโภค)
ข้อ 5 ยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ
ข้อ 6 ตัวแทน ประกันภัย ตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด (ตัวแทนไม่ออกข้อสอบนานมาก , ปีที่แล้วออกประกันภัยทำกันไม่ได้ เพราะทุกคนเก็งตั๋วเงินกันหมด , ตั๋วเงินออกบ่อย , บัญชีเดินสะพัด ไม่ค่อยเห็นเลย)
ข้อ 7 หุ้นส่วน บริษัท (ไม่ออกหุ้นส่วน ก็ออกบริษัท ไม่ออกบริษัทมหาชน)
ข้อ 8 ครอบครัว มรดก (ออกรวมกัน วินิจฉัยครอบครัวก่อนแล้วตามด้วยมรดก) ประเด็นเยอะ กรรมการตรวจข้อสอบยาก ต้องเช็คว่าตอบประเด็นอะไรบ้าง ประเด็นละ1-2คะแนน ตอบไม่ครบทุกประเด็นคะแนนก็ร่วง
ข้อ 9 การค้าระหว่างประเทศ โดยหลักก็ พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเลฯ
ข้อ 10 ทรัพย์สินทางปัญญา ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ปัจจุบันอาจารย์ออกข้อสอบแต่งข้อสอบใช้กฎหมาย 2 ฉบับ ชอบใช้เหตุการณ์ปัจจุบัน
2. คู่มือเนติ กฎหมายนิติกรรมสัญญา ให้ศึกษา
เรื่องบุคคล (เคยออกสอบ ความสามารถบุคคล)
เรื่องนิติกรรม ปีที่แล้วออกกลฉ้อฉล สำคัญผิด นักศึกษาทำไม่ค่อยได้ มีคนตอบ ม.1299 เยอะ ออกนอกกรอบ ไม่ได้คะแนน อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบ ก็ไม่ต้องอ่าน
เรื่องระยะเวลา ไม่เคยออกข้อสอบ (ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยออก และจะไม่ออก)
เรื่องอายุความ ไม่เคยออกข้อสอบ (ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยออก และจะไม่ออก)
เรื่องสัญญา ระหว่างสัญญากับนิติกรรม โอกาสที่จะออกสัญญามีมากกว่า
3. เนื้อหาที่จะออกข้อสอบ โดยหลักต้องมาจากคำบรรยายของเนติ ควรต้องมีคำบรรยายเนติ นอกจากนี้ระยะหลัง ๆ ข้อสอบของอาจารย์ภาคค่ำถูกเลือกเป็นข้อสอบเยอะ , หนังสือคำพิพากษาของเนติ ห้องสมุดเนติก็มี หาฎีกาที่น่าสนใจ
4. การทำข้อสอบ บางคนถูกตัดคะแนน จาก 50 คะแนน เหลือ 49 ไปทำสัญลักษณ์ เซ็นชื่อ ไม่ขึ้นหน้าใหม่
5. ข้อสอบเนติ อ่านโจทย์ต้องปักธงให้ได้ ข้อสอบเนติต้องตอบอย่างน้อย 2-3 ประเด็น อ่านถึงเหตุการณ์นี้แล้วต้องรู้ว่าตรงนี้ต้องตอบแล้ว ต้องใส่หลักกฎหมายเข้าไปแล้ว ถ้าปักธงได้ 2-3 ประเด็น น่าจะมาถูกทางแล้ว แต่ถ้าเราอ่านแล้วยังไม่รู้ตรงไหนเป็นธงที่ต้องตอบ หรืออ่านไปน่าจะมีธงเดียว ไม่ใช่แล้ว หรืออ่านไปธงเยอะจังเลย ไม่ใช่แล้ว , อ่านข้อสอบ อ่านคำถามก่อน ให้วินิจฉัยว่าอะไร ค่อยย้อนไปอ่านเหตุการณ์ เวลาตอบข้อสอบ ถ้าเป็นประเด็นใหม่ เรื่องใหม่ ต้องขึ้นย่อหน้าใหม่ อาจารย์ตรวจข้อสอบจะได้รู้ว่าตอบครบทุกประเด็นไหม ต้องมีหลักกฎหมายปรับกับข้อสอบ คะแนนถึงจะดี และที่สำคัญ ย่อหน้าสุดท้าย ต้องตอบคำถามที่ถามด้วย
6. ข้อสอบเก่าข้อ 2 ที่อาจารย์รวบรวมไว้
สมัยที่ 77 ม.156 ฎ.843/2501 , ม.159 วรรคสอง , ม.161 ฎ.6103/2545
สมัยที่ 76 ม.349 วรรคหนึ่ง , ม.350 , ม.321 วรรคหนึ่ง
สมัยที่ 75 ม.374 วรรคหนึ่ง , ม.306 วรรคหนึ่ง ฎ.7943/2556
สมัยที่ 74 ม.204
สมัยที่ 73 ม.341 , ม.321 , ม.320 , ม.204 วรรคสอง , ม.224 วรรคหนึ่ง ฎ.4895/2551 , 800/2556
สมัยที่ 72 ม.215 , ม.217 , ม.224 วรรคหนึ่ง , ม.204 วรรคหนึ่ง
สมัยที่ 71 ม.159 วรรคสาม
สมัยที่ 70 ม.198 , ม.201 วรรคหนึ่ง , ม.199 วรรคสอง , ม.194 , ม.320 , ม.321 , ม.349
สมัยที่ 69
ข้อ 2 ม.377 , ม.378(2) , ม.391 วรรคหนึ่งและวรรคสาม ฎ.3007/2536
ข้อ 3 ม.8 , ม.219 , ม.320 , ม.369 ฎ.2046/2531 , 3342/2532 , 2653/2526 , 1678/2546 , 3547/2526
สมัยที่ 68 ม.344 , ม.341 , ม.306 ฎ.14317/2556 , 5268/2557
สมัยที่ 67 ม.165 , ม.350 ฎ.5426/2553
สมัยที่ 66 ม.306 , ม.374 วรรคสอง ฎ.12616/2555
สมัยที่ 65 ม.486 , ม.204 , ม.213 , ม.223 , ม.224
7. ปีนี้การบรรยายวิชานิติกรรมสัญญาไม่ตรงกับวันหยุด มีการบรรยายรวม 16 ครั้ง อาจารย์จะบรรยายแตะถึงกฎหมายหนี้บ้าง เพราะแยกกันไม่ออก
8. ความหมายและองค์ประกอบของนิติกรรม ม.149
1) การกระทำโดยการแสดงเจตนาของบุคคล
-ม.168-171
-ม.10-14 , ม.368
2) การกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย
-ม.150-153 (อาจารย์ที่แต่งข้อสอบ โยง ม.153+170)
3) การกระทำที่มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล
เป็นหลักเรื่องการขาดเจตนาหรือมีเจตนาไหม
-ม.154-156 (3 มาตรา 4 เรื่อง)
4) การกระทำด้วยใจสมัคร
-ม.157 , 159 , 164
5) การกระทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ
*ผลของการขาดองค์ประกอบ ถ้าขาดข้อ 1 ไม่เป็นนิติกรรม , ถ้าขาดข้อ 2 เป็นนิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์แบบโมฆะกรรม , ถ้าขาดข้อ 3 เป็นนิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์แบบโมฆะกรรม (ยกเว้นเรื่องความสามารถเป็นโมฆียะ) , ถ้าขาดข้อ 4 เป็นนิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์ในลักษณะโมฆียะกรรม (สมบูรณ์จนกว่าจะถูกบอกล้าง) , ถ้าขาดข้อ 5 ไม่มีการเคลื่อนไหวสิทธิ ก็ไม่เป็นนิติกรรม
9. การกระทำของบุคคลโดยการแสดงเจตนา หมายถึง การคิด การตัดสินใจ และแสดงออกมาภายนอกถึงความประสงค์ภายใน หรือการตัดสินใจทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น
-ฎ.2531/2557 (นำหนังสือมอบอำนาจของผู้ตายที่ทำไว้ นำไปทำนิติกรรม) ส. ถึงแก่ความตายแล้ว ไม่สามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้ตาม ม.149 นิติกรรมการขายฝากที่ดินระหว่าง ส. กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเกิดจากจำเลยที่ 1 กระทำขึ้นหลังจาก ส. ถึงแก่ความตาย ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
-วิธีการแสดงเจตนา โดยชัดแจ้ง ปริยาย การนิ่ง
10. ม.168 การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งอยู่เฉพาะหน้า มีผลเมื่อผู้รับการแสดงเจตนาได้ทราบการแสดงเจตนา (เฉพาะหน้า--ทราบ)
11. ม.169 วรรคหนึ่ง การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า มีผลเมื่อการแสดงเจตนาไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา (ไม่อยู่เฉพาะหน้า--ไปถึง)
-แต่การแสดงผลจะ "ไร้ผล" เมื่อได้บอกถอนไปถึงผู้รับการแสดงเจตนาก่อนหรือพร้อมกันกับการแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา
-อะไรที่ไม่ใช่วิธีการแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งอยู่เฉพาะหน้า ก็เป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งไม่ได้อยู่เฉพาะหน้า
-ฎ.8453/2559 การบอกล้างกรมธรรม์ทางไปรษณีย์เป็นการแสดงเจตนาทำนิติกรรมต่อบุคคลซึ่งไม่ได้อยู่เฉพาะหน้า มีผลนับแต่เวลาที่หนังสือบอกล้างไปถึงผู้รับประโยชน์ ตาม ม.169
-ฎ.1189/2566 ส่งหนังสือบอกกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับตามที่อยู่ที่ระบุในสัญญาค้ำประกัน แม้ไม่พบหรือไม่มีผู้ใดรับไว้ ก็ถือว่าหนังสือบอกกล่าวได้ไปถึง อันเป็นการบอกกล่าวแก่ผู้ค้ำประกันโดยชอบแล้ว ตาม ม.686 วรรคหนึ่ง
-คำถาม การแสดงเจตนาไปยังผู้รับการแสดงเจตนาอย่างเป็นทางการมีผลสมบูรณ์เมื่อใด?
ฎ.4775/2565 การบอกกล่าวแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้อง หากเป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้านั้น ม.169 บัญญัติว่า "การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า ให้ถือว่ามีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา..." โดยถ้อยคำที่ว่าไปถึงผู้รับการแสดงเจตนานั้น แม้จะมิได้หมายความว่าผู้นำจดหมายไปส่งจะต้องได้พบผู้รับการแสดงเจตนาหรือผู้มีอำนาจทำการแทนผู้รับการแสดงเจตนา แต่การส่งนั้นผู้นำจดดหมายไปส่งต้องไปส่ง ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของผู้รับการแสดงเจตนาอย่างเป็นทางการ การส่งเอกสารให้แก่ผู้ร้องสอดที่ 1 นั้น จะต้องมีการส่งและตรวจรับโดยงานสารบรรณ เพื่อนำเสนอตามระบบและตามลำดับชั้นที่ถูกต้องต่อไป การส่งหนังสือหรือเอกสารแก่ผู้ร้องสอดที่ 1 นั้น ต้องมีการลงรับโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ จึงจะถือได้ว่าเป็นการส่งอย่างเป็นทางการ (ฎีกานี้ต้องจำ)
-คำถาม การแสดงเจตนาในคำให้การและฟ้องแย้งมีผลสมบูรณ์เมื่อใด?
ฎ.652/2565 โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อพิเคราะห์คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยว่า จำเลยขอบอกเลิกสัญญาเช่ามาพร้อมคำให้การและฟ้องแย้ง จึงถือได้ว่าจำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าแก่โจทก์แล้ว แต่การบอกเลิกสัญญาดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า ซึ่ง ม.169 ให้ถือว่าการแสดงเจตนาดังกล่าว มีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา อันหมายถึงวันที่โจทก์ได้รับสำเนาคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยด้วย จึงจะถือได้ว่าการแสดงเจตนาบอกเลิกไปถึงโจทก์ ปรากฏว่าทนายโจทก์ลงลายมือชื่อรับสำเนาคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยเมื่อวันที่ 9 ก.ค.2561 จึงเป็นผลให้สัญญาเลิกกันในวันดังกล่าว ตาม ม.386 วรรคหนึ่ง มีผลให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ม.391 วรรคหนึ่ง
-คำถาม การแสดงเจตนาโดยทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังภูมิลำเนาจำเลย แต่ส่งไม่ได้เพราะไม่มีเลขที่บ้านมีผลสมบูรณ์หรือไม่?
ฎ.2066/2564 แม้ซองจดหมายบอกกล่าวบังคับจำนองที่โจทก์ส่งโดยทางไปรษณีย์ตอบรับระบุภูมิลำเนาจำเลย แต่ส่งไม่ได้โดยมีตราประทับของไปรษณีย์ระบุว่าไม่มีเลขที่บ้านตามจ่าหน้า แสดงว่ายังไม่ได้มีการนำจดหมายไปส่ง ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลย ถือไม่ได้ว่าโจทก์ผู้รับจำนองมีจดหมายบอกกล่าวบังคับจำนองไปถึงจำเลยผู้เป็นลูกหนี้โดยชอบแล้ว ตาม ม.169 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำนอง
-คำถาม การแสดงเจตนาไปยังที่อยู่ตามสัญญาหรือตามที่แจ้งให้ทราบเป็นหนังสือในภายหลัง แต่ไม่พบผู้รับการแสดงเจตนาเพราะย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่มีผลสมบูรณ์หรือไม่?
ฎ.3263/2562 ตามสัญญาค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันตกลงว่าในกรณีที่ธนาคารมีหนังสือแจ้งหรือบอกกล่าวเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับการค้ำประกันตามหนังสือสัญญานี้หรือตามกฎหมาย หากส่งไปยังผู้ค้ำประกัน ณ ที่อยู่ดังกล่าวข้างต้นของหนังสือสัญญานี้ หรือส่ง ณ สถานที่ซึ่งผู้ค้ำประกันแจ้งให้ธนาคารทราบเป็นหนังสือในภายหลัง ถือว่าธนาคารได้แจ้งหรือบอกกล่าวเป็นหนังสือให้ผู้ค้ำประกันทราบโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่เคยแจ้งย้ายให้โจทก์ทราบ ที่พนักงานไปรษณีย์นำหนังสือทวงถามของโจทก์ไปส่งให้จำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในสัญญาอันเป็นการส่งอย่างเป็นทางการ แม้จะไม่พบจำเลยที่ 2 และไม่มีผู้ใดรับไว้ โดยระบุว่าย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่ แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่รับหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ และถือได้ว่าหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดของโจทก์ได้ไปถึงจำเลยที่ 2 ทั้งก่อนฟ้องโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามที่อยู่เดียวกันกับคำฟ้องซึ่งมีผู้รับแทนจำเลยที่ 2 มีผลเป็นการบอกกล่าวโดยชอบตาม ม.169 วรรคหนึ่ง ประกอบ ม.686 วรรคหนึ่ง โจทก์มีอำนาจฟ้อง (ฎ.1102/2566)
12. ความไม่เสื่อมเสียของการแสดงเจตนา
ม.169 วรรคสอง การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้ว ไม่เสื่อมเสียไปด้วยเหตุผู้แสดงเจตนาตาย ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
อาจารย์จะพูดอีกครั้งตอนพูด ม.360
13. การตีความการแสดงเจตนา
-ม.171 (ยังไม่เคยออกข้อสอบ แต่อาจารย์อยากออก) ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร
-ม.10 ข้อความเป็นสองนัย
-ม.11 ข้อความมีข้อสงสัย
-ม.12 ตัวอักษรกับตัวเลขไม่ตรงกัน
-ม.13 ตัวอักษรหรือตัวเลขที่แสดงไว้หลายแห่งไม่ตรงกัน
-ม.14 ข้อความมีหลายภาษาโดยมีภาษาไทยด้วยซึ่งแตกต่างกัน
-ม.368 การตีความสัญญา
14. การกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย 4 กรณี (1-3 โมฆะ , 4 โมฆียะ)
1) วัตถุประสงค์แห่งนิติกรรม
2) การทำนิติกรรมแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมาย
3) แบบของนิติกรรม
4) ความสามารถของบุคคล
15. ม.150 แยกเป็น 3 กรณี ต้องแยกให้แม่นยำ คะแนนมาแน่นอน (ม.150 , ม.151 มีการปรับบทที่สับสนกันอยู่จำนวนมาก)
1) วัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
กฎหมายมีเนื้อหากำหนดห้ามทุกคนทำ เช่น ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรายกเว้นสถาบันการเงินตามกฎหมายสถาบันการเงิน
2) วัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย
3) วัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ไม่มีกฎหมายห้าม แต่นิติกรรมที่ทำขัดต่อความสงบเรียบร้อย
*ส่วน ม.151 เป็นกรณีมีกฎหมายกำหนดให้ทำ แต่นิติกรรมที่ทำมีการตกลงกันแตกต่างจากที่กฎหมายกำหนดไว้
*กรณีการเรียกค่าว่าความของทนายความ ที่เรียกในลักษณะเอาประโยชน์จากการแพ้ชนะคดี ไปดู พ.ร.บ.ทนายความฯ ไม่ห้าม ไม่มีกฎหมายห้าม มีกฎหมายบังคับให้ทำไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ตรงนี้ต้องปรับบทขัดความสงบเรียบร้อยฯ ม.150 ตอนท้าย เป็นโมฆะ
*จะใช้ ม.151 ได้ ต้องผ่าน ม.150 ก่อน คือ วัตถุประสงค์ต้องชอบด้วยกฎหมาย แต่ไปเขียนสัญญาแตกต่างจากกฎหมาย
16. วัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
-คำถาม การทำสัญญาเช่าที่ให้เช่าระยะแรก 30 ปี และมีคำมั่นที่จะให้เช่าต่อไปโดยผู้เช่าจะให้สัญญาว่าจะจ่ายค่าเช่าให้อีก 2 คราว คราวละ 30 ปี ในวันเดียวกัน ทั้งผู้เช่าได้ชำระเงินค่าเช่าส่วนต่ออีก 60 ปี ไปพร้อมกับค่าเช่าส่วนแรก 30 ปี มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือไม่?
***ฎ.4655/2566 ป.พ.พ. ม.540 ห้ามมิให้มีการเช่าเกิน 30 ปี หากมีกำหนดเวลาเกินกว่า 30 ปี ก็ให้ลดลงมาเป็น 30 ปี เมื่อครบกำหนดเวลา 30 ปีแล้ว ถึงจะต่อสัญญาได้อีก ทั้งนี้ เพราะเห็นว่ากำหนดระยะเวลาดังกล่าวเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สภาพของทรัพย์ที่เช่าและสภาวะเศรษฐกิจย่อมเปลี่ยนแปลงไปจนคู่สัญญาไม่อาจคาดหมายได้ว่าทรัพย์ที่เช่าจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจอันอาจให้เช่าได้เท่าใด ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง ทั้งไม่อาจใช้เงื่อนไขตามสัญญาเช่าเดิมมากำหนดมูลค่าทางเศรษฐกิจของทรัพย์ที่เช่าได้ จึงกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาให้มีการเช่าได้เพียง 30 ปี อันเป็นการคุ้มครองคู่สัญญามิให้มีการได้เปรียบหรือเสียเปรียบจากการทำสัญญาเช่าที่มีระยะเวลาที่ยาวนานจนไม่อาจคาดหมายถึงการเปลี่ยนแปลงความคุ้มค่าของการเช่า การที่ผู้ให้เช่าและผู้เช่าสัญญาเช่าที่ให้เช่าระยะแรก 30 ปี และมีคำมั่นที่ผู้ให้เช่าจะให้เช่าต่อไป โดยผู้เช่าให้สัญญาว่าจะจ่ายค่าเช่าให้อีก 2 คราว คราวละ 30 ปี ในวันเดียวกัน ทั้งผู้เช่าได้ชำระเงินค่าเช่าส่วนต่ออีก 60 ปี ไปพร้อมกับค่าเช่าส่วนแรก 30 ปี ครบถ้วนแล้ว แสดงให้เห็นเจตนาของผู้ให้เช่าและผู้เช่าชัดเจนว่าต่างประสงค์หลีกเลี่ยงมาตรา 540 ที่ห้ามมิให้เช่าเกิน 30 ปี ฉะนั้น สัญญาส่วนที่ต่อสัญญาเช่าอีก 2 คราว คราวละ 30 ปี จึงตกเป็นโมฆะ เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จึงเป็นกรณีไม่อาจจะให้ตีความเป็นสัญญาบุคคลสิทธิระหว่างผู้ให้เช่ากับผู้เช่า เพื่อให้มีผลบังคับต่อไปตามที่ผู้เช่าฎีกา เพราะมิฉะนั้นแล้ว วัตถุประสงค์ของมาตรา 540 ดังกล่าวย่อมจะไร้ผลบังคับ
(ม.540 เป็นกฎหมายห้ามทุกคนฝ่าฝืน ฎีกานี้จะออกสอบเรื่องเช่าก็ได้ แต่ถ้าออกสอบเรื่องนิติกรรม นักศึกษาต้องเน้นที่ ม.150 และจะส่งผล ม.172-174)
-คำถาม การที่ลูกหนี้เป็นผู้เสนอดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เจ้าหนี้เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือไม่?
ฎ.745/2565 การออกหุ้นกู้ต้องอยู่ในบังคับ ม.1229 และพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ม.33 ม.34 และม.65 คือต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ การฝ่าฝืนเป็นความผิดและต้องได้รับโทษตามม.268 จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว เป็นเหตุให้หุ้นกู้ที่ออกโดยจำเลยที่ 1 ไม่ชอบและไม่อาจใช้บังคับในฐานะเป็นหุ้นกู้ตามกฎหมายได้ แต่จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์และมีกำหนดเวลาการชำระคืน ถือได้ว่าสำเนาใบหุ้นกู้มีข้อความครบถ้วนเพียงพอให้รับฟังได้ว่าเป็นหักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่เป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. ม.653 วรรคหนึ่ง ซึ่งจำเลยที่ 1 ตกลงจะให้ประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินปันผลในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน มีลักษณะเป็นข้อตกลงให้ดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งฝ่าฝืนม.654 และพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ ตกเป็นโมฆะ โจทก์คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละ 7.5 นับแต่วันครบกำหนดชำระหนี้เป็นต้นไป ส่วนผลตอบแทนที่ได้ชำระแก่โจทก์จะตกเป็นโมฆะ แต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้กำหนดขึ้นเอง ถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำการตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตาม ม.407 จำเลยที่ 1 ไม่อาจเรียกร้องคืนด้วยการนำมาคิดหักกลบกับต้นเงินกู้ยืมที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่โจทก์ได้
(ฎีกานี้ไม่มีการลงพิมพ์ อาจารย์เห็นว่าฎีกานี้ไม่ได้กลับหลัก เป็นคนออกหุ้นกู้เป็นคนเสนอดอกเบี้ยเอง เป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ)
-คำถาม ข้อตกลงเกี่ยวกับการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมและเงื่อนไขการบังคับคดีในคดีก่อนของศาลชั้นต้นมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือไม่?
ฎ.3639/2566 ข้อตกลงเพิ่มเติมมีสาระสำคัญว่า หากโจทก์ทั้งห้าชำระเงิน 1,150,000,000 บาท แก่จำเลยภายในวันที่ 16 ธันวาคม 2558 จำเลยตกลงให้หนี้ตามฟ้องในคดีก่อนของศาลชั้นต้นและหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นอันระงับไป และจะดำเนินการถอนการบังคับคดี แต่ถ้าโจทก์ทั้งห้าผิดนัดยอมชำระเงินเต็มตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ 1,411,825,399.81 บาท และดอกเบี้ย เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมและเงื่อนไขการบังคับคดีในคดีก่อนของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งห้าและจำเลยยังคงอ้างและใช้คำพิพากษาตามยอมเป็นหลักในการชำระหนี้ จึงเป็นข้อตกลงในชั้นบังคับคดี มิใช่ข้อตกลงเพื่อลบล้างยกเลิกหรือเพิกถอนคำพิพากษาตามยอมที่ขัดต่อกฎหมายและเป็นโมฆะ ย่อมมีผลบังคับผูกพันจำเลยและโจทก์ทั้งห้า
-คำถาม หนังสือรับชำระหนี้แทนลูกหนี้เดิม โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือไม่?
ฎ.1884/2566 หนังสือรับชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ ระหว่างธนาคารโจทก์เจ้าหนี้กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ทำขึ้นด้วยใจสมัครและตรงตามเจตนาของโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทั้งไม่ได้มีวัตถุประสงค์อันเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการทำสัญญาค้ำประกันตาม ป.พ.พ. ม.680 ซึ่งมีบทบัญญัติว่าข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมตกเป็นโมฆะตาม ม.681/1 วรรคหนึ่ง อันจะถือว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับกันได้ จำเลยที่ 2 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อโจทก์
(ข้อพิจารณา สัญญาค้ำประกัน--สัญญารับชำระหนี้แทน)
18. วัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ข้อพิจารณา ฎ.8265/2559 การทำนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู้แสดงเจตนาและผู้รับการแสดงเจตนาต้องร่วมรู้หรือมีความมุ่งหมายในการนั้น
-คำถาม การที่โจทก์ร่วมรับเช็คพิพาทจากจำเลยแล้วถอนฟ้องในคดีที่โจทก์ร่วมเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานฟ้องเท็จซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน มูลหนี้ตามเช็คพิพาทมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่?
ฎ.2620/2567 ป.วิ.อ. ม.35 วรรคหนึ่ง มิได้ห้ามโจทก์ซึ่งฟ้องคดีความผิดอาญาแผ่นดินไว้แล้วจะถอนฟ้องไม่ได้เสียเลย การที่โจทก์ร่วมรับเช็คพิพาทจากจำเลยแล้วถอนฟ้องในคดีที่โจทก์ร่วมเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานฟ้องเท็จซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ย่อมเป็นการใช้สิทธิของโจทก์ร่วมอันพึงกระทำได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามกฎหมาย มูลหนี้ตามเช็คพิพาทมิได้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ
ให้นักศึกษาเปรียบเทียบกับฎีกาต่อไปนี้
-คำถาม สัญญาประนีประนอมยอมความที่มีข้อตกลงให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ตามป.อ. ม.264 , 268 อันเป็นคดีความผิดอาญาแผ่นดิน มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่?
ฎ.2229/2566 สัญญาประนีประนอมยอมความที่มีข้อตกลงให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามป.อ. ม.264 , 268 อันเป็นคดีความผิดอาญาแผ่นดิน มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. ม.150 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับเรียกค่าเสียหายส่วนที่เหลือตามสัญญาที่เป็นโมฆะได้
-คำถาม สัญญาประกันอัคคีภัยสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์หรือเครื่องหมายการค้าซึ่งถือว่าเป็นสินค้าที่ผิดกฎหมาย มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่?
***ฎ.8265/2559 ผู้คัดค้านทำแบบคำขอประกันอัคคีภัยไปยังผู้ร้อง โดยระบุที่ตั้งทรัพย์สิน เฟอร์นิเจอน์ สต๊อกสินค้า เมื่อผู้ร้องตกลงรับประกันภัยก็ได้ออกกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยให้ และขณะที่ตกลงรับประกันภัยผู้ร้องไม่ทราบว่าสินค้าที่เอาประกันภัยเป็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์หรือเครื่องหมายการค้าซึ่งถือเป็นสินค้าที่ผิดกฎหมาย ตัวแทนของผู้ร้องเพียงแต่ถ่ายภาพสินค้าในตู้โชว์สินค้าไว้เพียงภาพเดียว ผู้คัดค้านไม่เคยแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวให้ทราบว่าเป็นสินค้าที่ผิดกฎหมายหรือไม่ และผู้ร้องไม่เคยทราบหรือล่วงรู้ว่าสินค้าที่เอาประกันภัยไว้เป็นสินค้าที่ผิดกฎหมาย เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องรู้รายละเอียดสินค้าที่ผู้คัดค้านนำมาขาย ย่อมเห็นได้ว่าผู้ร้องคงมีเจตนารับประกันภัยสินค้าที่ผู้คัดค้านมีไว้เพื่อขายโดยทั่วไปเท่านั้น สินค้าดังกล่าวอาจจะมีลักษณะเป็นสินค้าที่ผิดกฎหมายหรือไม่นั้นผู้ร้องมิได้รู้เห็นด้วย สัญญาประกันอัคคีภัยในส่วนสต๊อกสินค้าจึงทำขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ทรัพย์สินของผู้คดค้าน กรณีเกิดอัคคีภัยที่ตกลงทำประกันภัย เมื่อผู้คัดค้านเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองสินค้าที่มีไว้เพื่อขาย หากสินค้าได้รับความเสียหายจากอัคคีภัยหรือภัยที่ระบุไว้ ย่อมทำให้ผู้คัดค้านสูญเสียตัวทรัพย์หรือผลประโยชน์ที่จะได้จากทรัพย์สินนั้น ผู้คัดค้านจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย สัญญาประกันภัยระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านหาได้มีวัตถุประสงค์ที่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่ตกเป็นโมฆะตามม.150 ผู้ร้องและผู้คัดค้านจึงมีความผูกพันกันตามเงื่อนไขข้อตกลงและความรับผิดในการรับประกันอัคคีภัยที่มีผลบังคับโดยสมบูรณ์
-คำถาม สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นเพื่อให้ผู้ขายที่ดินกระทำผิดสัญญานายหน้า มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่?
***ฎ.14114/2556 สัญญาประนีประนอมยอมความมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โจทก์กระทำผิดสัญญานายหน้ากับ บ. โดยมีเงื่อนไขว่าหากโจทก์ถูก บ. ฟ้องเรียกเงินค่านายหน้าในการซื้อขายที่ดิน จำเลยจะออกเงินค่าทนายความ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพ่งและอาญาแทนโจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายที่ดิน แต่โจทก์จะต้องมอบหมายให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ซื้อเป็นผู้จัดหาทนายความให้และจะต้องให้ความร่วมมือในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ หากศาลมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดให้โจทก์ชำระเงินค่านายหน้าเป็นจำนวนเงินเท่าใดแล้ว จำเลยตกลงชำระเงินค่านายหน้าแทนโจทก์ นอกจากนี้แล้วจำเลยตกลงชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตามคำพิพากษาแทนโจทก์ด้วย ถือได้ว่าเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการยุยงส่งเสริมให้โจทก์กระทำผิดสัญญานายหน้ากับ บ. โดยที่จำเลยมิได้มีส่วนได้เสียกับมูลคดีนั้นโดยตรง แต่ได้เข้าไปช่วยเหลือแก่โจทก์หากถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วยการจัดหาทนายความให้และหากโจทก์แพ้คดี จำเลยจะชำระหนี้ตามคำพิพากษา รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ โดยมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนที่จะได้จากการที่โจทก์ผิดสัญญานายหน้ากับ บ. โดยจำเลยจะได้ประโยชน์จากการซื้อที่ดินได้ในราคาที่ต่ำลงจากเดิม ขณะเดียวกันโจทก์ก็ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าและราคาที่ดินส่วนที่เกินให้แก่ บ. และได้รับเงินค่าที่ดินเพิ่มขึ้นจากจำเลยอีก จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ม.150
19. ม.151 การทำนิติกรรมแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมาย (ต้องเป็นกฎหมายบังคับให้ทำ แล้วทำแตกต่าง)
-คำถาม การทำข้อตกลงที่แตกต่างไปจากผลของการเลิกสัญญาตาม ม.391 เป็นการทำนิติกรรมแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่? (อันนี้ออกข้อสอบเนติบ่อย)
ฎ.3698/2561 โจทก์ผิดสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างโดยก่อสร้างอาคารไม่แล้วเสร็จตามกำหนด จำเลยจึงมีสิทธิเลิกสัญญาได้โดยชอบ ซึ่งสัญญากำหนดสิทธิของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาว่า จำเลยผู้ว่าจ้างมีสิทธิริบค่าจ้างที่โจทก์ผู้รับจ้างดำเนินการไปแล้วแต่จำเลยยังไม่ชำระ รวมทั้งหลักประกันใด ๆ ที่โจทก์มอบไว้แก่จำเลยตามสัญญา เพื่อนำมาหักชำระเป็นค่าปรับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลย อันเนื่องมาจากการผิดสัญญาของโจทก์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการทำงานต่อไป หรือค่าเสียหายในการแก้ไขงานในระยะเวลารับประกันผลงาน ส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์การก่อสร้างที่โจทก์นำมาในสถานที่ก่อสร้าง โจทก์ยินยอมให้จำเลยยึดทรัพย์สินเหล่านั้นมาขายเพื่อหักใช้หนี้ใด ๆ ที่โจทก์มีต่อจำเลยได้ทันที อันเป็นข้อตกลงที่แตกต่างไปจากผลของการเลิกสัญญาตาม ม.391 ซึ่งมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม ม.151 จึงมีผลใช้บังคับได้ระหว่างโจทก์จำเลย (ฎ.5162/2563 , 4646/2558 วินิจฉัยแนวเดียวกัน)
-คำถาม การทำข้อตกลงให้การชำระหนี้อันจะแบ่งกันชำระได้และมีบุคคลหลายคนเป็นลูกหนี้ โดยให้ลูกหนี้แต่ละคนรับผิดเป็นส่วนที่ไม่เท่ากัน เป็นการทำนิติกรรมแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่?
***ฎ.1043/2565 ข้อตกลงที่ให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 8 รับผิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละรายนั้น แตกต่างจากบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยลูกหนี้และเจ้าหนี้หลายคน ตาม ม.290 แต่เมื่อไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมใช้บังคับได้ตาม ม.151 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 8 ไม่ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตาม ม.297 แต่ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่าหุ้นต่อโจทก์ตามสัดส่วนการถือหุ้นของจำเลยแต่ละรายตามที่ปรากฏในสำเนาสัญญาร่วมลงทุนและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น
วันนี้เนื้อหาเยอะจริง ๆ อาจารย์อยากให้ทุกคนได้ เอาไว้ใช้ทุกสนามทั้งอัยการทั้งผู้ช่วยผู้พิพากษา ครั้งหน้ามาต่อกันเรื่องการขาดเจตนา
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น