สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายนิติกรรม สัญญา (ครั้งที่ 4-5)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายนิติกรรม สัญญา (ครั้งที่ 4-5)
อาจารย์นรินทร ตั้งศรีไพโรจน์
วันพุธที่ 18 มิถุนายน 2568
**********
1. วันนี้พูดต่อในเรื่ององค์ประกอบของนิติกรรม ข้อ 3 การกระทำที่มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คือ ต้องการให้มีผลสมบูรณ์
-ถ้ามีการแสดงเจตนา แต่ไม่ต้องการให้มีผลสมบูรณ์ ขาดเจตนา เป็นโมฆะ ซึ่งการขาดเจตนาในการทำนิติกรรม มี 4 กรณี คือ เจตนาซ่อนเร้น , เจตนาลวง , นิติกรรมอำพราง และความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
2. เจตนาซ่อนเร้น
-ม.154 "การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น"
-เจตนาซ่อนเร้น เกิดจากความบกพร่อง (ฎ.527/2506) หรือความตั้งใจของผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมเพียงฝ่ายเดียว (ฎ.248/2536) (เจตนาลวง ม.155 วรรคหนึ่ง สองฝ่ายสมรู้กัน) โดยไม่มีเจตนาผูกพันตามเจตนาที่แสดงออก
-ม.154 + ตัวการตัวแทนไม่เปิดเผยชื่อ ม.806
2.1) ถ้าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งมิได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมนั้น การแสดงเจตนาทำนิติกรรมนั้นสมบูรณ์
-ฎ.7602/2553 จำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์โดยตรง แต่จำเลยทำบันทึกข้อตกลงระบุว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คที่ฟ้อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ และจำเลยจะผ่อนชำระแก่โจทก์ โดยมิได้ระบุว่าจำเลยกระทำการแทนบริษัท ซ. ที่จำเลยเป็นกรรมการบริษัทอยู่ ย่อมแสดงให้เห็นถึงการที่จำเลยทำบันทึกข้อตกลงเป็นส่วนตัว ยอมผูกพันตนเข้าเป็นลูกหนี้ของโจทก์เพื่อชำระหนี้ของอีกคนหนึ่ง เมื่อโจทก์ไม่รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของจำเลย ว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เพียงบางส่วน หนี้ส่วนที่เหลือจำเลยมีเจตนาให้มีผลผูกพันบริษัท ซ. อันจะเป็นเหตุให้การแสดงเจตนาตกเป็นโมฆะตามม.154 จำเลยจึงต้องผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกมานั้น เมื่อจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อตกลง จึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ และโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกชำระหนี้จากจำเลยหรือบริษัท ซ. คนใดคนหนึ่งได้ การที่โจทก์ไม่เลือกใช้สิทธิบังคับเอาแก่บริษัท ซ. จึงไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
2.2) ถ้าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมนั้น การแสดงเจตนาทำนิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะ
-ฎ.766/2557 อาคารที่เกิดเหตุเป็นอาคารที่บริษัท อ. เช่าจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการชำระเงินค่าปรับปรุงตกแต่งภายในบางส่วนให้แก่โจทก์ ผู้นำเข้าบัญชีเพื่อชำระให้แก่โจทก์ได้แก่บริษัท อ. ตามหลักฐานระบบทะเบียนผู้ใช้น้ำ คำขอติดตั้งก็ระบุว่าบริษัท อ. เป็นผู้ใช้และผู้ขอติดตั้ง ตามหลักฐานภาพถ่ายป้ายชื่อคลินิกก็สอดคล้องกับชื่อบริษัท อ. จากหลักฐานดังกล่าวเชื่อว่า บริษัท อ. ดำเนินกิจการคลินิกเเละว่าจ้างให้โจทก์ปรับปรุงตกเเต่งภายในอาคาร แต่ในการตกลงว่าจ้างโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏว่า จำเลยตกลงว่าจ้างโจทก์ในนามบริษัท อ. การกระทำของจำเลยจึงมีลักษณะเป็นตัวเเทนของตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อ จำเลยซึ่งเป็นตัวเเทนต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์ในฐานะที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 154 (โจทก์มิได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของจำเลยว่าทำแทนบริษัท อ.) เว้นเเต่ตัวการที่มิได้เปิดเผยชื่อจะกลับเเสดงให้ปรากฏเเละเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวเเทนได้ทำไว้เเทนตน จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนจึงจะหลุดพ้นจากความรับผิดเป็นส่วนตัว เเต่ตัวการหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวเเทนเเละเขาขวนขวายได้มาเเต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวเเทนได้ไม่ตามมาตรา 806 ซึ่งหลังจากที่มีการตกลงว่าจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้ว การที่บริษัท อ. ชำระเงินค่าจ้างให้แก่โจทก์ แม้เอกสารการนำเงินเข้าบัญชีเป็นเพียงการชำระเงินบางส่วน และเป็นการนำเงินเข้าบัญชีในนามของบริษัท อ. โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่องก็ตาม แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าบริษัท อ. ได้เเสดงตนให้ปรากฏเข้ารับเอาข้อตกลงว่าจ้างที่จำเลยได้ทำไว้แทนแล้ว ทั้งเมื่อนำมารับฟังประกอบกับการติดต่อขอใช้น้ำประปา โจทก์เป็นผู้ยื่นคำขอใช้น้ำประปาในนามของบริษัท อ. โดยจำเลยลงชื่อและประทับตราบริษัท อ. และชื่อบริษัท อ. ยังสอดคล้องกับป้ายชื่อคลินิก พฤติการณ์ดังกล่าวนอกจากจะถือว่าบริษัท อ. ซึ่งเป็นตัวการได้แสดงตนให้ปรากฏเข้ารับเอาข้อตกลงว่าจ้างที่จำเลยทำกับโจทก์แล้ว ยังรับฟังได้ว่าโจทก์ทราบเรื่องที่บริษัท อ. เเสดงตนให้ปรากฏเข้ารับเอาข้อตกลงว่าจ้างที่จำเลยทำกับโจทก์ก่อนที่จะฟ้องเป็นคดีนี้เเล้ว จึงถือว่าบริษัท อ. เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์มีจำเลยเป็นตัวเเทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดเป็นส่วนตัว
2.3) การแสดงเจตนาซ่อนเร้น ไม่มีบทคุ้มครองบุคคลภายนอก (ไม่เหมือนการแสดงเจตนาลวง) ไม่ว่าบุคคลภายนอกจะสุจริตหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง ตามหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
3. เจตนาลวง
-ม.155 วรรคหนึ่ง "การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้"
3.1) ลักษณะของการแสดงเจตนาลวง
--ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมสมรู้กับผู้รับการแสดงเจตนา
--ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมแสดงเจตนาออกมาภายนอกไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงซึ่งอยู่ภายในใจ
--เพื่อลวงบุคคลอื่น ตัวบทไม่ได้เขียน แต่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าเพื่อลวงบุคคลอื่น จุดนี้ต้องระวัง ต้องแยกให้ออกกับเรื่องเพิกถอนการฉ้อฉล
-ฎ.2136/2566 จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์ให้ลงทุนในบริษัท ย. จนโจทก์ต้องการลงทุน แต่โจทก์ไม่มีเงิน จำเลยที่ 1 จึงบอกให้โจทก์กู้เงินจากธนาคาร แต่โจทก์ไม่มีคุณสมบัติที่ธนาคารจะอนุมัติให้กู้เงินได้ จำเลยที่ 1 จึงหลอกลวงโจทก์ให้โอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 เพื่อจำเลยที่ 1 จะนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปขอกู้เงินจากธนาคาร โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่า จำเลยที่ 1 มีความน่าเชื่อถือมากกว่าโจทก์ เมื่อได้เงินกู้มาแล้วจะนำมาให้โจทก์ใช้ลงทุนในบริษัท ย. แต่เมื่อโจทก์โอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 กลับนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจดทะเบียนขายฝากแก่จำเลยที่ 2 ดังนี้แม้จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์ให้โอนโดยการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีเจตนาซื้อขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างกันอย่างแท้จริง โจทก์และจำเลยที่ 1 มีเจตนาให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 นำไปขอกู้เงินจากธนาคารแล้วนำเงินกู้มาให้แก่โจทก์ใช้ลงทุน เนื่องจากโจทก์ไม่มีคุณสมบัติที่ธนาคารจะอนุมัติให้กู้เงินได้ ทั้งนี้จำเลยก็ไม่ได้ชำระราคาที่ดินแก่โจทก์ นิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นการทำกันไว้หลอก ๆ เป็นเพียงเจตนาลวงเพื่อให้จำเลยที่ 1 นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปขอกู้เงินจากธนาคาร จึงตกเป็นโมฆะตามม.155 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 ไม่ได้ซื้อฝากที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ตามม.155 วรรคหนึ่งได้
-ฎ.10737-10738/2557 จำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระหนี้แก่โจทก์ การที่ผู้ร้องให้จำเลยที่ 3 อยู่อาศัยในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่อไป โดยมิได้มีข้อเท็จจริงใดที่แสดงเป็นข้อส่อพิรุธไปในทางว่า การจดทะเบียนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กัน อันจะทำให้นิติกรรมการโอนดังกล่าวเป็นโมฆะ ซึ่งจะมีผลให้ทรัพย์สินดังกล่าวยังคงเป็นของจำเลยที่ 3 อยู่ดังเดิมตาม.155 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนทรัพย์สินพิพาทให้แก่ผู้ร้องด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นต่อกัน ทรัพย์สินพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง แม้การโอนดังกล่าวจะเป็นนิติกรรมอันจำเลยที่ 3 ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งเจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกกถอนเสียได้ตามม.237 วรรคหนึ่ง และเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 3 ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีและนำยึดเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ โดยไม่ต้องไปฟ้องคดีขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวก่อนก็ตาม ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทได้
3.2) การแสดงเจตนาลวงทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ
3.3) บทคุ้มครองบุคคลภายนอก คู่กรณีจะยกการแสดงเจตนานั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นไม่ได้
-บุคคลภายนอก คือ คนที่ไม่ใช่คู่กรณีที่สมรู้กัน หรือผู้สืบสิทธิของคู่กรณี
-เสียหาย ไม่ใช่เสียค่าตอบแทน
-ฎ.14/2565 จำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 4 รับจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่อาจอ้างโมฆะกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์ อ. ส. กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นได้ตามม.155 วรรคหนึ่ง
-ฎ.732/2562 โจทก์ทั้งสองมอบให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทเป็นเวลานานหลายปี จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อยอมให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวแทนทำการออกหน้าเป็นตัวการว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 และรู้ถึงข้อความจริงในเรื่องนี้มาตลอด จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้สุจริต ฉะนั้นไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิาทให้จำเลยที่ 2 โดยชอบหรือไม่ก็ตาม จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีไปกว่าจำเลยที่ 1 และต้องถือว่าจำเลยที่ 2 อยู่ในฐานะเดียวกับจำเลยที่ 1 คือเป็นตัวแทนผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทแทนโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อ สำหรับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับโอนที่ดินพิพาทต่อจากจำเลยที่ 2 นั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 3 โดยมีพฤติการณ์สมรู้ร่วมกันอันเป็นการแสดงเจตนาลวง ประกอบกับจำเลยที่ 3 ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามม.6 ว่ากระทำการโดยสุจริต โจทก์ทั้งสองจึงหาอาจทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตที่มีต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเสมือนเป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสอง และจำเลยที่ 3 ขวนขวายไดด้สิทธิมาก่อนที่จะรู้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสองได้ไม่ตามม.806 โจทก์ทั้งสองย่อมไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทกลับคืนมาได้ จำเลยที่ 3 และจำเลยร่วมซึ่งรับโอนที่ดินพิพาทต่อจากจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง
-ม.806 ต้องทำความเข้าใจ เข้าไปพันกับเจตนาซ่อนเร้น , เจตนาลวง
4. นิติกรรมอำพราง (การแสดงเจตนาลวงเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น)
-ม.155 วรรคสอง "ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ"
-คู่กรณีแสดงเจตนาทำนิติกรรมขึ้น 2 นิติกรรม
-นิติกรรมหนึ่งแสดงให้ปรากฏออกมาเพื่ออำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่งนั้น คู่กรณีประสงค์จะให้นิติกรรมอำพรางนั้นไม่มีผลบังคับระหว่างกันเองได้ตามกฎหมาย
-นิติกรรมอีกอันหนึ่งที่ถูกปกปิดมิได้แสดงให้ปรากฏออกมาหรือถูกอำพรางไว้นั้น คู่กรณีประสงค์จะให้นิติกรรมที่ถูกอำพรางนั้นมีผลบังคับระหว่างกันเองได้ตามกฎหมาย
4.1) นิติกรรมอำพราง
-สำหรับคู่กรณี การแสดงเจตนาลวงตกเป็นโมฆะตามม.155 วรรคหนึ่ง
-สำหรับบุคคลภายนอก คู่กรณีจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้ (ฎ.2514/2561)
4.2) นิติกรรมที่ถูกอำพราง
-ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ
-ตัวอย่างฎีกา ฎ.4020/2566 , 3636/2566 , 2138/2566 , 1188/2566
-ฎ.5792/2558 สัญญาจะซื้อขายระบุที่ดินตามโฉนดเลขที่ 3703 นั้น ไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีและคู่กรณีไม่ประสงค์ให้มีผลตามกฎหมาย เป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้ระหว่างคู่กรณี นิติกรรมที่แสดงออกมาว่าเป็นโฉนดเลขที่ 3703 จึงตกเป็นโมฆะตามม.155 วรรคหนึ่ง ส่วนเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีที่ประสงค์ให้ใช้บังคับระหว่างกันคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 ก. เลขที่ 261 ที่ไม่เปิดเผยและถูกอำพรางไว้ กรณีจึงต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางนี้ เมื่อครบกำหนดโอนที่ดินตามสัญญา ฉ. ผิดสัญญาโอนที่ดินแก่ ป. ไม่ได้ ป. ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ ฉ. ปฏิบัติตามสัญญาหรือเรียกค่าเสียหายได้ การที่ ฉ. ทำสัญญากู้เงิน ป. 880,000 บาท โดยจำเลยเป็นผู้เขียนสัญญาและจำเลยยอมนำที่ดินโฉนดเลขที่ 2703 ของจำเลยให้ยึดถือเป็นประกันด้วยนั้น จึงเป็นที่มาแห่งมูลหนี้ชอบที่ ป. จะบังคับให้ ฉ. ชำระค่าเสียหายที่ไม่สามารถโอนที่ดินแก่ตน แต่เพราะ ฉ. ไม่มีทรัพย์สินอะไร เป็นบุคคลล้มละลาย และ ป. กลัวว่า ฉ. จะโกงบิดพลิ้วไม่ยอมชำระเงินตามสัญญากู้เงิน การที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2703 ของจำเลยแก่โจทก์ในราคา 880,000 บาท เพื่อเป็นประกันไว้แทนสัญญากู้เงินดังกล่าวให้อีก สัญญาจะซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2703 ของจำเลยระหว่างโจทก์กับจำเลยนั้น ไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณี และคู่กรณีไม่ประสงค์ให้มีผลตามกฎหมายเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้ระหว่างคู่กรณี นิติกรรมที่แสดงออกมาว่าเป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทจึงตกเป็นโมฆะตามม.155 วรรคหนึ่ง ส่วนเจตนาที่แท้จริงของคู่กรณีที่ประสงค์ให้ใช้บังคับระหว่างกันคือจำเลยยอมชำระเงินแทน ฉ. ในมูลหนี้ที่ ฉ. ทำสัญญากู้เงิน ป. 880,000 บาท นั่นเอง และสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทถือได้ว่าเป็นการกู้ยืมเงินของ ฉ. โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันกัน ซึ่งสัญญาตามเจตนาที่แท้จริงดังกล่าวนี้เป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่คู่กรณีสมัครใจตกลงทำขึ้นเพื่อเป็นการค้ำประกันเงินที่ ป. ได้วางมัดจำแก่ ฉ. เพื่อชำระราคาที่ดินไปแล้วพร้อมค่าเสียหาย มิใช่นิติกรรมอำพรางของสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่าง ฉ. กับ ป. ซึ่งเป็นคนละส่วนต่างหากจากกัน เมื่อ ฉ. มิได้ชำระเงินที่ต้องรับผิดแก่ ป. หรือโจทก์ และการที่จำ่เลยยอมทำสัญญารับผิดในหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ตามที่ ฉ. ป. และจำเลยยินยอม โดยทุกฝ่ายต่างลงลายมือชื่อในสัญญาจะซื้อขาย เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำกรณีโอนที่ดินกันไม่ได้ เท่ากับโจทก์ขอให้ชำระหนี้ค้ำประกัน หาใช่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นตาม ป.วิ.พ. ม.142 วรรคหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น