สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายนิติกรรม สัญญา (ครั้งที่ 7-9)

สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายนิติกรรม สัญญา (ครั้งที่ 7-9)
อาจารย์นรินทร ตั้งศรีไพโรจน์
วันพุธที่ 16 กรกฎาคม 2568
**********

1. ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
-ม.156 วรรคหนึ่ง "การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ" 
-เจตนาภายในใจเข้าใจผิดในวัตถุประสงค์ และแสดงเจตนาออกมาภายนอกตามที่เข้าใจผิดโดยไม่ตั้งใจ , ซึ่งไม่ใช่การเข้าใจผิดในมูลเหตุชักจูงใจที่เป็นเรื่องความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน ม.157
-ฎ.4697/2565 จำเลยที่ 1 ได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งสุสานและฌาปนสถานสาธารณะ โดยได้ปรับปรุงสภาพที่ดินแบ่งเป็นแปลงย่อยขนาดเล็กเรียงรายกัน เพื่อให้บุคคลเข้ามาซื้อหรือจองสิทธิเพื่อใช้ปลูกสร้างฮวงซุ้ยสำหรับเก็บศพ ฝังหรือเผาศพ การที่โจทก์ จำเลยที่ 3 หรือบุคคลอื่นเข้ามาทำสัญญาซื้อหรือจองสิทธิกับจำเลยที่ 1 เพื่อใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว แม้จะไม่ได้มีการโอนทางทะเบียน ก็ถือได้ว่าได้มีการโอนสิทธิการครอบครองที่ดินให้แก่ผู้ซื้อแล้ว ทั้งผู้ซื้อสามารถโอนสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวไปยังผู้อื่นได้ ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทซึ่งขายให้โจทก์ไปแล้วให้แก่จำเลยที่ 3 แม้จะเกิดจากความผิดพลาดของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 โดยการชี้ที่ดินผิดแปลง ก็หาทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ใช่การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินที่เป็นวัตถุประสงค์แห่งนิติกรรมตามม.156 เนื่องจากจำเลยที่ 3 ต้องการซื้อที่ดินแปลงพิพาท ไม่ใช่ต้องการซื้อที่ดินแปลงอื่นหรือเป็นการโอนที่ดินผิดแปลง เพียงแต่ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินที่จำเลยที่ 1 ขายให้โจทก์ไปแล้ว ทั้งปรากฏว่าหลังจากจำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทแล้ว ได้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยทำพิธีแซกีเสริมดวงชะตาก่อสร้างฮวงซุ้ย และเมื่อสามีจำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตาย ก็ได้นำศพมาฝังที่ฮวงซุ้ยที่สร้างขึ้นและทำพิธีไหว้บรรพบุรุษตามประเพณีมาตลอดทุกปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริต , ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3ก ซึ่งมีเพียงสิทธิครอบครองและสามารถโอนแก่กันได้ด้วยการส่งมอบ ซึ่งหากถูกแย่งการครอบครองก็ต้องฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี ตามม.1375 วรรคสอง มิฉะนั้นจะหมดสิทธิในที่ดิน โจทก์จึงต้องฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ภายหลังจากที่จำเลยที่ 3 เข้าครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยทำพิธีแซกีเสริมดวงชะตาและก่อสร้างฮวงซุ้ยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2555 อันเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์

2. ประเภทของความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
-ม.156 วรรคสอง "ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมและความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น"
-ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม แบ่งเป็น 4 ประเภท
2.1) ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม
-ฎ.2312/2550 จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันเพื่อให้ ช. ผู้จัดการธนาคารโจทก์นำเงินค่างวดในการจ้างเหมาก่อสร้างบ้านชำระหนี้แก่จำเลยโดยนำเงินเข้าบัญชีให้ และจำเลยจะใช้เช็คเบิกถอนเงินค่าจ้างรับเหมาก่อสร้างบ้านตามงวด จำเลยไม่มีเจตนาที่จะทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ หาก ช. ไม่นำเงินเข้าบัญชีให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ แสดงว่า ช. ผิดนัดชำระหนี้ จำเลยย่อมจะใช้เช็คถอนเงินไม่ได้ โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินให้จำเลยแทน ช. แต่การที่ ช. ยอมอนุมัติจ่ายเงินตามเช็คให้จำเลย จึงเป็นเรื่องที่จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นการรับเงินค่างวดที่ ช. นำเงินค่าจ้างก่อสร้างบ้านเข้าบัญชีให้เพื่อชำระหนี้ จำเลยไม่มีเจตนาที่จะเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ หาก ช. ไม่ใช่ผู้จัดการธนาคารโจทก์ จำเลยก็ย่อมไม่สามารถจะใช้เช็คถอนเงินได้ และหากเงินในบัญชีไม่มี ธนาคารก็ต้องปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยจะได้รีบทวงถามหรือระงับการก่อสร้างบ้านตามสัญญาให้แก่ ช. ทันท่วงที หรือฟ้องร้องเรียนกเงินค่าจ้างเหมาก่อสร้างจาก ช. โดยเร็ว ในขณะที่พยานหลักฐานยังอยู่ครบถ้วน การกระทำของ ช. ถือได้ว่าเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ีในฐานะผู้จัดการธนาคารโจทก์โดยไม่ชอบ โจทก์ในฐานะตัวการจึงต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวแทนของตน การที่จำเลยรับ่เงินไปจากธนาคารโจทก์โดยสำคัญผิดว่าเป็นเงินค่างวดที่จำเลยมีสิทธิได้รับ จำเลยจึงไม่มีเจตนาที่จะผูกนิติสัมพันธ์ทำนิติกรรมเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจากจำเลยในฐานะเป็นลูกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ได้ 
2.2) ความสำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม
2.3) ความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม
2.4) ความสำคัญผิดในข้อตกลงแห่งนิติกรรม
-ฎ.978/2567* ขณะทำสัญญาขายฝากกที่ดินพิพาท โจทก์เข้าใจว่าตกลงขายฝากที่ดินพิพาทเป็นเงิน 160,000 บาท ตามจำนวนที่โจทก์ได้รับจากจำเลยที่ 2 มิใช่ 500,000 บาท ตามที่ระบุในสัญญาขายฝาก เป็นกรณีโจทก์สำคัญผิดในเรื่องราคาขายฝาก แม้มิใช่การสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม หรือตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม หรือทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม แต่ราคาที่ตกลงขายฝาก ย่อมมีความสำคัญมากพอกับตัวทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งนิติกรรม ถือว่าโจทก์แสดงเจตนาทำนิติกรรมการขายฝากโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะตามม.156 ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ศาลต้องเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาท ส่วนเงิน 160,000 บาท ที่โจทก์ได้รับจากจำเลยที่ 2 เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์ต้องคืนให้แก่จำเลยที่ 1 ฐานลาภมิควรได้ตามม.172 วรรคสอง (+ม.406 วรรคหนึ่ง นักศึกษาต้องตอบให้ครบ)
-ฎ.595/2567* โจทก์เจตนาแบ่งแยกที่ดินและทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทเนื้อที่ 30 ตารางวา เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ปลูกบ้าน ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่โจทก์ทำนิติกรรมจดทะเบียนขายที่ดินพิพาททั้งแปลงเนื้อที่ 136 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 3 โดยสำคัญผิดอันเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม นิติกรรมขายที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะตามม.156 แต่โดยพฤติการณ์แห่งกรณีเห็นได้ว่า คู่กรณีเจตนาให้นิติกรรมขายที่ดินพิพาทในส่วน 30 ตารางวา ที่จำเลยทั้งสามปลูกบ้านอยู่อาศัยมีผลสมบูรณ์ และสามารถแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ ดังนั้น นิติกรรมขายที่ดินพิพาทเนื้อที่ 30 ตารางวา ที่จำเลยทั้งสามปลูกบ้านอาศัย จึงมีผลสมบูรณ์ ไม่ตกเป็นโมฆะตามม.173 และต้องบังคับตามม.172 วรรคสอง ในการคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับตามม.406 โดยจำเลยทั้งสามต้องจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเนื้อที่ 106 ตารางวา คืนแก่โจทก์ ส่วนโจทก์ต้องคืนเงินค่าโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามที่โจทก์ตกลงคืนเงินค่าโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2
-ฎ.87/2555* จ. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินยอมให้ ก. เช่าที่ดิน โดยให้ปลูกตึกแถวพิพาทด้วยเงินของผู้เช่า แล้วให้ผู้เช่ามีสิทธิใช้ประโยชน์ในตึกแถวพิพาทเป็นเวลา 20 ปี เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า ให้ตึกแถวพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่า ต่อมา จ. จดทะเบียนยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยก่อนครบสัญญาเช่า โดยระบุในหนังสือสัญญาให้ที่ดินว่าสิ่งปลูกสร้างไม่มี แสดงว่า จ. คิดว่าตึกแถวพิพาทยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของตน เพราะมีข้อสัญญาว่าจะให้ตึกแถวพิพาทที่ปลูก ตกเป็นข่องเจ้าของที่ดินเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว จึงระบุในหนังสือสัญญาให้เช่นนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่ามีเงื่อนไขในหนังสือสัญญาให้ที่ดินเป็นอย่างอื่น เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าที่ดินแล้ว ตึกแถวพิพาทย่อมตกเป็นของเจ้าของที่ดินในขณะนั้น ซึ่งคือจำเลยตามสัญญา ในฐานะเป็นส่วนควบของที่ดินทันที โดยไม่จำต้องไปจดทะเบียนโอนกันอีกตามม.144 การที่จำเลยได้ทำหนังสือแบ่งผลประโยชน์ค่าเช่าตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์หนึ่งในสี่ส่วน ตามหนังสือการแบ่งผลประโยชน์ค่าเช่าตึกแถว และยื่นคำร้องขอจัดการมรดกตึกแถวพิพาท โดยคิดว่าเป็นทรัพย์มรดกของ จ. จึงเป็นความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม หนังสือการแบ่งผลประโยชน์ค่าเช่าตึกแถวดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามม.156 วรรคหนึ่ง

3. ผลของการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
3.1) ความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อของผู้แสดงเจตนา
-ม.156 วรรคหนึ่ง เป็นโมฆะ
3.2) ความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้แสดงเจตนา
-ม.158 เป็นโมฆะ "ความสำคัญผิดตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้
-ฎ.2358/2567 โจทก์หลงเชื่อจากการหลอกลวงและทำสัญญาซื้อหน่วยลงทุนกับชำระเงินลงทุนให้แก่จำเลยทั้งสาม โดยเข้าใจว่าจะได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยตามหนังสือโฆษณาชี้ขวน ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และเป็นกรณีที่โจทก์แสดงเจตนาลงทุนตามสัญญาซื้อขายโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามเป็นโมฆะตามม.156 มีผลเท่ากับการซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวมิได้เกิดมีขึ้น จำเลยทั้งสามต้องคืนทรัพย์ฐานลาภมิควรได้ตามม.172 วรรคสอง โดยต้องคืนเต็มจำนวนตามม.412 โจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสามคืนเงินลงทุนเต็มจำนวน และเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาเงินลงทุนคืนตามม.1336 ไม่มีอายุความ
-ฎ.2808/2554 โจทก์มีเจตนาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ชำระค่าที่ดินพิพาทแก่โจทก์ด้วยแคชเชียร์เช็คซึ่งสั่งจ่ายให้แก่บุคคลอื่นมามอบให้โจทก์และมีการแก้ไขจำนวนเงินในเช็ค อันเป็นเช็คที่ทำปลอมขึ้น บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาจะชำระค่าที่ดินให้แก่โจทก์มาตั้งแต่แรก แต่เป็นการวางแผนหลอกลวงโจทก์ โดยร่วมกับ ส. อันมีมูลเหตุให้โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยสุจริต ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อ การที่จำเลยที่ 1 กับพวก ใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ ทำให้โจทก์สำคัญผิดว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาจะชำระค่าที่ดินให้โจทก์ อันเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมการซื้อขายประการหนึ่ง กล่าวคือผู้ขายมีหน้าที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ ส่วนผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย ดังนี้ การแสดงเจตนาของโจทก์ในการทำนิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามม.156 โดยมิพักต้องคำนึงว่าการแสดงเจตนานั้นจะเริ่มจากการถูกกลฉ้อฉลหรือไม่
-ฎ.5819/2552 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินให้แก่โจทก์รวม 6 แปลง เป็นที่ดินมีโฉนดที่ดิน 2 แปลง ส่วนอีก 4 แปลง เป็นที่ดินที่ยังไม่มีโฉนดที่ดิน เมื่อหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินระบุว่า "และผู้จะซื้อจะโอนในนามผู้หนึ่งผู้ใด ผู้จะขายไม่ขัดข้อง" แสดงถึงเจตนารมณ์ของคู่สัญญาว่าในระหว่างที่สัญญาจะซื้อขายมีผลบังคับ โจทก์อาจไปติดต่อหาผู้มาซื้อที่ดินโดยจะโอนที่ดินผ่านจากจำเลยที่ 1 ไปยังผู้ที่จะซื้อที่ดินต่อจากโจทก์ทันทีโดยไม่ผ่านโจทก์ โจทก์จึงต้องการที่ดินที่สามารถจะโอนไปยังผู้อื่นได้โดยไม่ติดเงื่อนไขข้อกำหนดห้ามโอน ขณะทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน โจทก์ทราบเพียงว่าที่ดินบางส่วนเป็นที่ดินซึ่งสามารถขอออกโฉนดที่ดินได้ การที่โจทก์ทราบภายหลังว่าที่ดินแปลงที่จะซื้อ 4 แปลง มีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 5 ปี จึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ผู้จะซื้อ และนับเป็นความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม สัญญาจะซื้อขายที่ดินทั้ง 4 แปลง ดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ และตามพฤติการณ์ไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ประสงค์จะให้การซื้อขายที่ดินมีโฉนดที่ดินซึ่งสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้สมบูรณ์แยกต่างหากออกจากส่วนที่ไม่สมบูรณ์ สัญญาจะซื้อขายที่ดินทั้ง 2 แปลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะเช่นกัน จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์
-ฎ.432-433/2567 (กรณีถือว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง) โจทก์ที่ 1 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำนิติกรรมกู้ยืมเงินมาพอสมควร การละเลยไม่ตรวจสอบเอกสารก่อนลงชื่อ ทั้งยังมอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งเป็นเอกสารสำคัญของตน พร้อมลงชื่อรับรองความถูกต้องให้แก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 กระทำการด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โจทก์ที่ 1 ย่อมไม่อาจอ้างการถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงมาขอเพิกถนอนิติกรรมให้กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกทำนิติกรรมโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ที่ 1 ไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ตามฟ้องได้ ดังนั้น สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ที่ 1 ได้ แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ที่ 1 ขายที่ดินสองแปลงให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 เสียหาย ต้องสูญเสียที่ดินไป เป็นการร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 1 ตามม.420
3.3) ผลต่อบุคคลภายนอก การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ไม่มีบทคุ้มครองบุคคลภายนอกดังเช่นการแสดงเจตนาลวง
-ฎ.217/2562 โจทก์ไม่มีเจตนาขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 3 แต่มีเจตนาจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท การทำหนังสือสัญญาขายที่ดินพิพาทจึงเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรมซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ตามม.156 วรรคสอง สัญญาขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 จึงตกเป็นโมฆะตามม.156 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 3 ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และไม่มีสิทธิโอนขายต่อแก่จำเลยที่ 4 และที่ 5 แม้จำเลยที่ 5 จะซื้อที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนตามกฎหมาย จำเลยที่ 5 ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามหลักกฎหมายทั่วไปที่ว่า ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน กรณีจึงมีเหตุให้เพิกถอนการจดทะเบียนการขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 และระหว่างจำเลยที่ 4 กับจำเลยที่ 5

4. ความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน
-ม.157 "การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ
  ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น"

-ฎ.4300/2564 (ไม่ใช่การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติ ไม่เป็นโมฆียะ บอกล้างสัญญาไม่ได้ เมื่อไปบอกล้างสัญญา ก็เป็นฝ่ายผิดสัญญา) 
-ฎ.1580/2566 (สำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สิน เป็นโมฆียะตามม.157 วรรคหนึ่ง มีสิทธิบอกล้างโมฆียะตามม.175(3) เมื่อบอกล้างแล้ว ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามม.176 วรรคหนึ่ง .. "ม.176 วรรคหนึ่ง คงบัญญัติให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยไม่ได้บัญญัติให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วย ดังนี้ การที่จำเลยรับเงินดังกล่าวของโจทก์ไว้ดังกล่าวย่อมเป็นหนี้เงิน" ซึ่งตามม.224 วรรคหนึ่ง ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี (เดิม) แต่จำเลยจะตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ก็ต่อเมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ตามม.204 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์บอกล้างโมฆียะกรรมและทวงเงินค่าซื้อรถของกลางจากจำเลยให้คืนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ครบกำหนด 15 วัน ตามหนังสือทวงถามวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 จำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป)
-ฎ.3105/2553 ในขณะทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาท โจทก์ไม่รู้ว่าที่ดินพิพาทไม่ติดกับถนน โดยมีที่ราชพัสดุคั่นอยู่ จึงเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สินที่เช่าซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากโจทก์ไม่ได้มีความสำคัญผิดดังกล่าวคงจะไม่ทำสัญญาเช่าที่ดินกับจำเลยทั้งสาม การแสดงเจตนาทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์จึงเป็นโมฆียะตามม.157 แม้โจทก์จะขอเช่าที่ดินที่มีที่ดินคั่นอยู่ก่อนติดถนนก็ตาม เมื่อตีความสัญญาเช่าที่ดินพิพาทโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีในทางสุจริตแล้ว ต้องถือว่าไม่อยู่ในความประสงค์ของโจทก์ที่จะต้องการเข้าทำสัญญาดังกล่าว เพราะโจทก์ต้องการเช่าที่ดินพิพาทที่ติดกับถนนเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องทางเข้าออกในการดำเนินกิจการสถานีบริการน้ำมันในภายหลัง ทั้งกรณีไม่ใช่เรื่องความชำรุดบกพร่องแห่งทรัพย์สินที่เช่าตามม.549 และ 551 อันจำเลยทั้งสามจะยกขึ้นอ้างได้ เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยทั้งสาม และจำเลยทั้งสามได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว จึงมีผลเท่ากับเป็นการบอกล้างโมฆียะกรรม และต้องถือว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก และมีผลเท่ากับการเช่าที่ดินพิพาทมิได้เกิดมีขึ้น จึงไม่ก่อสิทธิใดแก่จำเลยทั้งสามที่จะยึดเอาเงินของโจทก์ไว้ได้ โจทก์และจำเลยทั้งสามต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามม.176 จำเลยทั้งสามต้องคืนเงินที่ได้รับแก่โจทก์ ทั้งโจทก์ต้องส่งมอบที่ดินพิพาทในสภาพเรียบร้อยคืนแก่จำเลยทั้งสาม
-ฎ.2493/2553 สัญญาจะซื้อขายห้องชุดระบุว่า อาคารชุดตั้งอยู่บนที่ดินเนื้อที่ 380 ตารางวา แต่ในความเป็นจริงตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวโดยมีเนื้อที่เพียง 200 ตารางวา เป็นการผิดเงื่อนไขในเนื้อที่ดินอันเป็นที่ตั้งอาคารชุด ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามสัญญาจะซื้อขายห้องชุด มิใช่เป็นสาระสำคัญแห่งการทำสัญญาจะซื้อขายอันจะเป็นโมฆะ (ม.156) เพราะจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายห้องชุดมิใช่ที่ดิน ห้องชุดจึงเป็นทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมสัญญาจะซื้อขาย การผิดเงื่อนไขในจำนวนเนื้อที่ดินจึงเป็นเพียงการสำคัญผิดในคุณสมบัติของอาคารชุดอันเป็นโมฆียะตามม.157 ซึ่งจะต้องบอกล้างภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรือภายใน 10 ปี นับแต่ได้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้นตามม.181 เมื่อ ด. ประชุมนิติบุคคลอาคารชุดดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2543 และทราบว่าพื้นที่บางส่วนของอาคารชุดแห่งนี้หดหายไป จึงต้องถือว่า ด. ทราบเหตุแห่งโมฆียะในวันนั้น อันเป็นเวลาที่ ด. อาจให้สตัยาบันแก่โมฆียะกรรมได้นับแต่นั้น การที่ ด. มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อขายลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2545 หรือฟ้องคดีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2546 ก็ดี ย่อมเป็นระยะเวลาเกิน 1 ปี นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความ สัญญาจะซื้อขายจึงไม่เป็นโมฆะ (อาจารย์เห็นว่า ม.181 เป็นระยะเวลาการบอกล้าง ไม่ใช่อายุความ)

5. ความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้แสดงเจตนา
-ม.158 "ความสำคัญผิดตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้"
*ถ้าเจอข้อสอบเรื่องสำคัญผิด ห้ามละเลยม.158
-ฎ.3504/2563 (กรณีประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง) สภาพความเป็นนิติบุคคลของโจทก์ย่อมปรากฏอยู่ในหนังสือรับรองที่บุคคลทั่วไปตรวจสอบได้ ซึ่งตามหนังสือรับรองของโจทก์ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า บริษัทโจทก์เป็นบริษัทร้างที่นายทะเบียนได้ขีดชื่อออกจากทะเบียนแล้วตามม.1273/3 ประกอบกับจำเลยที่ 2 ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ให้บริการออกหนังสือค้ำประกันแก่ลูกค้า โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเป็นการตอบแทน จำเลยที่ 2 ย่อมมีหน้าที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของนิติบุคคลที่จำเลยที่ 2 จะทำนิติกรรมด้วยว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ก่อนที่จะออกหนังสือค้ำประกันให้ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ตรวจสอบทั้งที่ตรวจสอบได้และเป็นเรื่องผลประโยชน์ของจำเลยที่ 2 เอง แต่จำเลยที่ 2 กลับไม่นำพอ จึงเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่ 2 เช่นนี้จำเลยที่ 2 จะถือเอาความสำคัญผิดในสภาพบุคคลของโจทก์มาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ตามม.158
-ฎ.712/2557 (กรณีไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง) จำเลยซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดินทราบดีว่าที่ดินมีแนวสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่าน ไม่อาจปลูกสร้างบ้านในที่ดินเต็มเนื้อที่ เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องบอกข้อเท็จจริงดังกล่าวแก่ลูกค้าซึ่งเป็นผู้บริโภค แต่ไม่มีการบอกแก่โจทก์ ถือได้ว่าจำเลยปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับคุณสมบัติของที่ดินจนเป็นเหตุให้โจทก์สำคัญผิดว่าที่ดินใช้ปลูกสร้างบ้านได้เต็มเนื้อที่ , โจทก์ไม่ทราบว่าที่ดินมีสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านไม่อาจปลูกสร้างบ้านได้เต็มเนื้อที่ โจทก์ได้รับคำยืนยันจากพนักงานบริษัทจำเลยว่าสามารถปลูกสร้างบ้านบนที่ดินได้ นับได้ว่าโจทก์ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่วิสัยของผู้บริโภคในพฤติการณ์เช่นนั้นแล้ว ไม่อาจถือว่าโจทก์แสดงเจตนาทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของที่ดินด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงตามม.158 สัญญาจะซื้อขายที่ดินอันเกิดจากความสำคัญผิดของโจทก์ในคุณสมบัติของทรัพย์สินซึ่งเป็นสาระสำคัญตกเป็นโมฆียะตามม.157 ชอบที่โจทก์จะบอกล้างโดยบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย

*นักศึกษาต้องไล่สายกฎหมายให้ได้ ขั้นตอนแรกแยกม.156 กับม.157 ให้ออก ถ้าประมาทเลินเล่อจนขาดเจตนาเป็นม.156 วรรคสอง และมีผลตามวรรคหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ม.156 ดูม.157 วรรคหนึ่งและมีผลวรรคสอง เมื่อวางหลักเกณฑ์นี้เสร็จแล้ว ให้ดูม.158 ว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ , บุคคลที่มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม ม.175(3) , บอกล้างภายในระยะเวลาหรือไม่ ม.181 , ผลของการบอกล้าง ม.176 วรรคหนึ่ง (โมฆะมาแต่เริ่มแรก คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม พ้นวิสัยจะให้กลับคืนได้ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้ให้แทน) , ถ้าเป็นหนี้เงินม.224 วรรคหนึ่ง+ม.7 วรรคหนึ่ง , อายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการกลับคืนสู่ฐานะเดิม ม.176 วรรคสาม , บทยกเว้นการบอกล้างโมฆียะกรรม ม.1329 

***จบการบรรยาย***

ความคิดเห็น

10 บทความยอดนิยมประจำสัปดาห์

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (30 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 (55 ข้อ)

สาระสำคัญ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (ฉบับเตรียมสอบ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (ชุดที่ 1)

แนวข้อสอบ พนักงานราชการ (ข้อ 1 - 10)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 (20 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558

แนวข้อสอบ ระเบียบฯ การลาของข้าราชการ (ชุดที่ 2)