สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายนิติกรรม สัญญา (ครั้งที่ 12)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายนิติกรรม สัญญา (ครั้งที่ 12)
อาจารย์นรินทร ตั้งศรีไพโรจน์
วันพุธที่ 6 สิงหาคม 2568
**********
1. ข้อสันนิษฐานว่าสัญญายังไม่เกิด
1.1) สัญญายังไม่ตกลงกันได้หมดทุกข้อ
-ม.366 วรรคหนึ่ง "ข้อความใด ๆ แห่งสัญญาอันคู่สัญญาแม้เพียงฝ่ายเดียวได้แสดงไว้ว่าเป็นสาระสำคัญอันจะต้องตกลงกันหมดทุกข้อนั้น หากคู่สัญญายังไม่ตกลงกันได้หมดทุกข้ออยู่ตราบใด เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ท่านนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกัน การที่ได้ทำความเข้าใจกันไว้เฉพาะบางสิ่งบางอย่าง ถึงแม้ว่าจะได้จดลงไว้ก็หาเป็นการผูกพันไม่"
-เป็นสาระสำคัญตามลักษณะของสัญญา เช่น ทำสัญญาซื้อขาย แต่ไม่รู้จะซื้ออะไร กรณีนี้ไม่รู้วัตถุแห่งสัญญาคืออะไร สัญญายังไม่เกิด
-เป็นสาระสำคัญตามเจตนาของคู่สัญญา
-ฎ.3799/2563 คำมั่นจะให้เช่าเป็นข้อตกลงต่างหากนอกเหนือจากสัญญาเช่า จึงเป็นเพียงบุคคลสิทธิโดยผลของกฎหมายไม่ผูกพันโจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในตึกแถวที่เช่าซึ่งไม่ได้ตกลงตามข้อตกลงดังกล่าวกับจำเลยแต่ประการใด แม้ต่อมาเมื่อถึงวันครบกำหนดตามสัญญาเช่า โจทก์ได้มีหนังสือเสนอสัญญาเช่าฉบับใหม่แก่จำเลยตามใบเสนอราคาพื้นที่เช่า ใบเสนอราคาพื้นที่เช่าดังกล่าวเป็นเพียงคำเสนอให้จำเลยทำสัญญาเช่าและสัญญาบริการ โดยโจทก์ตกลงเสนอค่าเช่าตามสัญญาเดิม แต่ค่าบริการเสนอขอเพิ่มขึ้น ต่อมาจำเลยมีหนังสือขอต่อระยะเวลาการเช่าไปยังโจทก์
หนังสือของจำเลยจึงเป็นคำสนองตอบคำเสนอทำสัญญาเช่าและสัญญาบริการของโจทก์ เมื่อตามคำสนองจำเลยตกลงชำระค่าบริการต่อห้องตามสัญญาบริการเดิม จึงเป็นข้อจำกัดหรือข้อแก้ไขคำเสนอของโจทก์ ถือว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับ ทั้งเป็นคำเสนอขึ้นใหม่ด้วยในตัวตามม.359 วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ตกลงตามคำเสนอใหม่ของจำเลยดังกล่าว ทั้งก่อนครบกำหนดสัญญาเช่า โจทก์และจำเลยได้พูดคุยกันในการขอทำสัญญาเช่าต่อหลายครั้ง แต่ตกลงกัน
ไม่ได้ เนื่องจากค่าบริการสูงกว่าที่เคยทำสัญญาเช่าไว้ แสดงว่าข้อสัญญาในส่วนค่าบริการ โจทก์ได้แสดงไว้ว่าเป็นเงื่อนไขในสัญญาอันเป็นสาระสำคัญที่จะต้องตกลงกัน เมื่อโจทก์จำเลยยังตกลงกันไม่ได้ ย่อมถือว่าคู่สัญญายังไม่ตกลงกันหมดทุกข้อ จึงถือว่าโจทก์จำเลยยังมิได้มีสัญญาเช่าต่อกันตามม.366 วรรคหนึ่ง แม้ต่อมาโจทก์ได้รับค่าเช่าและค่าบริการตามอัตราเดิมจากจำเลย ก็ไม่เป็นเหตุให้มีการขยายระยะเวลาเช่าต่อไปอีก 3 ปี แต่ถือว่าจำเลยอยู่ในที่เช่าโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ในตึกแถวที่เช่าทั้งสองห้องต่อไป โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าไปยังจำเลยได้ การที่จำเลยอาศัยในตึกแถวห้องที่เช่าตลอดมาหลังจากโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าและพ้นกำหนดระยะเวลาที่โจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายบริวารและทรัพย์สินออกไปแล้ว จึงเป็นการอาศัยอยู่โดยไม่มีสิทธิ อันเป็นละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ชอบที่ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
-ฎ.7537/2561* สัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 จะต้องมีการพิจารณาเลือกรูปแบบอาคารที่โจทก์เสนอและอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างเสียก่อน ซึ่งถือได้ว่าเป็นสาระสำคัญอันจะต้องตกลงกันให้เรียบร้อย แต่จำเลยที่ 1 ยังมิได้พิจารณาเห็นชอบรูปแบบอาคารที่โจทก์เสนอตามขั้นตอนแต่ประการใด เนื่องจากยังมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับรูปแบบอาคารที่โจทก์เสนอแก่จำเลยที่ 1
กรณีย่อมเป็นที่สงสัยว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญายังไม่สามารถตกลงกันในสาระสำคัญกันทั้งหมดทุกข้อแล้ว นับว่าระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังมิได้มีสัญญาต่อกันตามม.366 วรรคหนึ่ง โจทก์ย่อมไม่อาจอาศัยสัญญาเช่าตามคำฟ้องเป็นฐานที่ตั้งแห่งสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดได้ตามที่กล่าวอ้างในคำฟ้อง
-ฎ.7852/2560 สัญญาซื้อขายหลักระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ เจ้าหนี้
กับลูกหนี้มีข้อตกลงในเรื่องสินค้าที่จะซื้อขาย ปริมาณ ราคา ซึ่งได้ตกลงในสาระสำคัญกันหมดทุกข้อแล้ว ส่วนสัญญาย่อยเป็นเพียงรายละเอียดในการขนส่งสินค้าในแต่ละงวด
เจ้าหนี้และลูกหนี้ต้องผูกพันกันตามสัญญาซื้อขายหลัก ไม่มีกรณีเป็นที่สงสัยว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันตามม.366 วรรคหนึ่ง เมื่อลูกหนี้สัญญากับเจ้าหนี้ว่าจะซื้อเหล็กจากเจ้าหนี้ การที่ลูกหนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับเหล็กที่เหลือตามสัญญา ลูกหนี้จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา , ลูกหนี้ทำสัญญาซื้อขายเหล็กกับเจ้าหนี้ ลูกหนี้ในฐานะผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องรับมอบสินค้าและชำระราคา การที่ลูกหนี้ปฏิเสธไม่รับมอบสินค้าตามที่ตกลง ทั้งที่เจ้าหนี้เตรียมพร้อมที่จะจัดส่งสินค้าให้ ลูกหนี้จึงเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ชำระหนี้และส่งผลทำให้เจ้าหนี้ต้องขาดกำไรในส่วนของสินค้าที่ลูกหนี้ไม่ยอมรับ ค่าขาดกำไรในส่วนนี้เป็นค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ในส่วนของลูกหนี้ตามม.222 วรรคหนึ่ง เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าขาดกำไร , แม้สัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ทั้งสัญญาหลักและสัญญาย่อยจะไม่มีข้อตกลงในเรื่อง ดอกเบี้ยก็ตาม แต่เมื่อหนี้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดกำไรที่เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับเป็นหนี้เงิน ซึ่งม.224 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในหนี้เงินค่าขาดกำไรในอัตราร้อยละ 7 ต่อปี ตามที่ขอมา ซึ่งไม่เกินอัตราตามที่ม.224 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ (ปัจจุบันม.224 วรรคหนึ่ง+ม.7 วรรคหนึ่ง ร้อยละ 5)
1.2) สัญญายังไม่ได้ทำเป็นหนังสือ
-ม.366 วรรคสอง "ถ้าได้ตกลงกันว่าสัญญาอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ท่านนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำขึ้นเป็นหนังสือ"
-ฎ.2140/2559 จำเลยเชิญชวนให้ผู้รับเหมาก่อสร้างยื่นซองประกวดราคา วันที่ 10 ก.ย. 2550
โจทก์เสนอราคางานก่อสร้างโครงการพิพาทตามใบเสนอราคา 280 ล้านบาท ต่อมามีการต่อราคาเหลือมูลค่างานทั้งสิ้น 270 ล้านบาท กำหนดระเวลาก่อสร้าง 1 ปี เริ่มก่อสร้างวันที่ 1 ก.ค. 2551
สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2552 ระบุ Performance Bond ร้อยละ 10 ของมูลค่าสัญญา (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) Material on Site ร้อยละ 70 ของวัสดุเหล็กเสริมคอนกรีต และระบุว่าโจทก์จะนำเสนอรายละเอียดราคาภายในวันที่ 2 ก.ค. 2551 ทั้งมีรายละเอียดราคาก่อสร้าง BOQ ประกอบ
จึงถือเป็นคำเสนอ เพราะมีข้อสาระสำคัญในการเสนอราคาชัดเจนแน่นอน , วันที่ 12 มิ.ย. 2551 โจทก์และจำเลยทำหนังสือแสดงเจตจำนงจ้างเหมาก่อสร้าง (Letter of
Intent) ว่า จำเลยตกลงเลือกโจทก์เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างอาคารโรงแรม โดยโจทก์ทราบและเข้าใจความประสงค์ของจำเลย ทั้งได้ศึกษาแบบตลอดจนเอกสารและข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจนเข้าใจถ่องแท้ทุกประการ และจำเลยตอบสนองการเสนอราคา โดยมีมูลค่างานคิดราคาเหมารวมทั้งโครงการ ไม่มีการเพิ่มเติมค่าใช้จ่ายอื่นใดอีกเป็นจำนวน 270 ล้านบาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและตกลงที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขการจ่ายเงิน เงื่อนไขด้านระยะเวลา และเงื่อนไขอื่นใดตามเอกสารดังกล่าว โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินการยกร่างสัญญาที่เกี่ยวข้องตามข้อตกลงดังกล่าวโดยทันทีและผู้รับจ้างตกลงจะเริ่มดำเนินงานก่อสร้างในวันที่ 1 ก.ค. 2551 และให้แล้วเสร็จครบถ้วนสมบูรณ์ตลอดจนส่งมอบงานทั้งหมดในวันที่ 30 มิ.ย. 2552 โจทก์และจำเลยได้อ่านข้อความข้างต้นทั้งหมดและต่างเข้าใจข้อความถูกต้องตรงกัน จึงได้ลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราไว้เป็นสำคัญ จึงเป็นคำสนองของจำเลยต่อโจทก์ เพราะมีสาระสำคัญของราคา ระยะเวลาทำงานเริ่มต้นและ
สิ้นสุด จึงเกิดเป็นสัญญาตามม.356 ซึ่งเป็นสัญญาจ้างก่อสร้างฉบับชั่วคราว เพราะโจทก์ต้องเริ่มก่อสร้างวันที่ 1 ก.ค. 2551 ส่วนข้อตกลงที่จะทำการยกร่างสัญญาที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดปลีกย่อย โจทก์และจำเลยจะทำกันในภายหลัง ซึ่งกรณีของโจทก์ไม่มีกรณีเป็นที่สงสัย
ว่าสัญญาอันมุ่งจะต้องทำเป็นหนังสือยังมิได้ทำขึ้นตามม.366 วรรคสอง หนังสือแสดงเจตจำนงจ้างเหมาก่อสร้าง (Letter of Intent) จึงเป็นสัญญาจ้างก่อสร้างฉบับชั่วคราวที่เกิดขึ้นแล้วบังคับให้โจทก์และจำเลยต้องปฏิบัติตามสัญญา ส่วนสัญญาหลักโจทก์และจำเลยจะทำขึ้นเป็นหนังสือภายหลังหนังสือแสดงเจตจำนงจ้างเหมาก่อสร้างเป็นสัญญาจ้างก่อสร้างฉบับชั่วคราวระหว่างโจทก์จำเลยเกิดขึ้นแล้วบังคับให้โจทก์และจำเลยต้องปฏิบัติตาม และสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาในลักษณะต่างตอบแทนซึ่งตามม.369 บัญญัติว่า “ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้...” เมื่อได้ความว่า
โจทก์ก่อสร้างงานเสร็จแล้ว 3 งวด โดยมีบริษัท อ. เป็นตัวแทนจำเลยรับรองผลงานและเสนอขออนุมัติการเบิกเงินแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงมีสิทธิไม่ชำระหนี้คือก่อสร้างโรงแรมและอาคารให้
จำเลยอีกต่อไป และมีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ส่วนจำเลยอ้างแต่เพียงว่าตนไม่มีหน้าที่ชำระ
เงินค่าก่อสร้างให้โจทก์ จึงถือว่าโจทก์และจำเลยตกลงเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างฉบับชั่วคราวกันโดยปริยาย และการเลิกสัญญาเป็นความผิดของจำเลย , เมื่อสัญญาจ้างก่อสร้างฉบับชั่วคราวระหว่างโจทก์จำเลยเลิกกันโดยปริยายแล้ว โจทก์และจำเลย
ต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามม.391 วรรคหนึ่ง ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้น การที่จะชดใช้คืนให้ทำด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ ตามม.391 วรรคสาม โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าการงานที่ทำและโจทก์ จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยตามม.391 วรรคท้าย โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นค่าเสียหายที่โจทก์มีสิทธิได้รับ เห็นสมควรกำหนดให้และจำเลยต้องรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวตามม.224 วรรคหนึ่ง
ม.213 วรรคสอง บัญญัติว่า "เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้ แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้" การที่โจทก์มีคำขอว่าหากจำเลยไม่คืนหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนานั้นไม่ใช่การกระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นการให้กระทำอันหนึ่งอันใด ซึ่งหากจำเลยไม่ยอมกระทำ โจทก์ก็ชอบที่จะบังคับคดีตามกฎหมายต่อไป ศาลไม่อาจสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาได้
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น