สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ (ครั้งที่ 4-5)

สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ (ครั้งที่ 4-5)
อาจารย์วิวัฒน์ ว่องวิวัฒน์ไวทยะ
วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2568
**********

1. สัญญาค้ำประกัน 
-ม.680 "อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น
  อนึ่ง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่"
-เป็นการประกันหนี้ในลักษณะบุคคลสิทธิ
-เป็นสัญญาอุปกรณ์ที่ต้องมีสัญญาประธาน
-ลูกหนี้ในสัญญาประธานจะเป็นผู้ค้ำประกันอีกฐานะหนึ่งไม่ได้ (แต่เรื่องจำนอง ผู้จำนองเป็นได้ทั้งลูกหนี้ในสัญญาประธาน และผู้จำนอง)
-สัญญาประธาน จะเป็นสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาเช่า หรือสัญญาอะไรก็ได้ ไม่ได้มีเฉพาะสัญญากู้ยืมเงิน
-หนี้ตามสัญญาอุปกรณ์ รับผิดไม่เกินหนี้ตามสัญญาประธาน
-ฎ.8712/2556 จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันหาต้องรับผิดต่อโจทก์ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงไปกว่าที่ลูกหนี้ชั้นต้นจะต้องชำระ
-ฎ.14592/2558 เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้น ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
-พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2557 และ (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2558 แก้ไขเรื่องค้ำประกัน 6 มาตรา คือ ม.681 , 681/1 , 685/1 , 686 , 691 , 700

2. ผู้กู้จะค้ำประกันหนี้ของตนไม่ได้ ผู้ค้ำประกันหนี้ต้องเป็นบุคคลภายนอกเท่านั้น และต้องทำต่อเจ้าหนี้ ม.680 วรรคหนึ่ง

3. ผู้ค้ำประกันตาย สัญญาค้ำประกันไม่ระงับ
-ฎ.1268/2555 ค้ำประกันเป็นสัญญาที่ผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันหาได้มีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติต่อเจ้าหนี้โดยอาศัยความสามารถหรือคุณสมบัติบางอย่างซึ่งต้องกระทำเป็นการเฉพาะตัวไม่ ผู้ค้ำประกันมีความผูกพันต้องชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้อันเป็นความผูกพันในทางทรัพย์สินเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อ พ. ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหนี้อันสมบูรณ์ตามม.681 วรรคหนึ่ง แม้ขณะที่ พ. ตาย จำเลยที่ 1 ผู้กู้ยังไม่ผิดสัญญาหรือผิดนัดก็ตาม สัญญาค้ำประกันก็หาได้ระงับไปเพราะความตายของ พ. ไม่ สิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ตามสัญญาค้ำประกันที่ พ. ทำกับโจทก์จึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทตามม.1599 วรรคหนึ่ง , 1600 (ฎ.1303/2564 แต่ทายาทไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตนตามม.1601)

4. สัญญาค้ำประกัน ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ม.680 วรรคสอง
-หลักฐาน ฉบับเดียวหรือหลายฉบับก็ได้ ขอให้มีก่อนฟ้อง
-มีข้อความทำนองว่า ค้ำประกันหนี้ของลูกหนี้ หรือเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระตนจะชำระแทน และลงลายมือชื่อในฐานะผู้ค้ำประกัน (ทั้งนี้ข้อความในสัญญาค้ำประกัน ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามม.681 วรรคสองและวรรคสาม ซึ่งแก้ไขใหม่)

5. สัญญาค้ำประกัน มีการกรอกข้อความภายหลัง บังคับได้หรือไม่
5.1) ถ้ากรอกตัวเลขภายหลังตามจริง ใช้บังคับได้ ฎ.5685/2548 (ข้อสอบเนติ 65)
5.2) ถ้ากรอกตัวเลขภายหลังไม่ตรงตามความเป็นจริง โดยผู้กู้ผู้ค้ำประกันไม่ยินยอม เป็นเอกสารปลอม ถือได้ว่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่มีสิทธิฟ้อง (ฎ.5189/2540)

6. สัญญาค้ำประกันเพื่อประกันหนี้ที่สมบูรณ์ ม.681 วรรคหนึ่ง ต้องดูความสมบูรณ์ของหนี้ประธานในแต่ละเรื่อง
-สัญญาซื้อขายยาเสพติด หนี้ประธานโมฆะ หมายถึงหนี้ไม่สมบูรณ์ตามนัย ม.681 วรรคหนึ่ง สัญญาค้ำประกันจึงไม่สมบูรณ์ ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด
-สัญญาเช่าซื้อลงลายมือชื่อฝ่ายเดียว ไม่ถูกต้องตามแบบ เป็นโมฆะ หนี้สัญญาเช่าซื้อไม่สมบูรณ์ ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด
-กู้ยืมเงิน ส่งมอบเงิน กู้ยืมสมบูรณ์ แม้ขาดหลักฐานตามกฎหมาย ก็เพียงต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีเอากับผู้กู้เท่านั้น เมื่อหนี้การกู้ยืมเงินมีอยู่จริงและสมบูรณ์เพียงใด ย่อมมีการค้ำประกันหรือการจำนองได้เพียงนั้น (แต่ผู้ค้ำประกันมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ว่าไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเงินขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ตามม.694 อันจะส่งผลให้ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด แต่กรณีผู้จำนองไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้ดังกล่าว ยังต้องรับผิด (ข้อสอบเนติ 47 , 49)
-ข้อสอบในส่วนของอาจารย์ ตัวละครจะเป็นเรื่องกู้ยืม แล้วก็มีค้ำประกันและจำนองด้วย***
-ขณะทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ ยังไม่มีการส่งมอบเงินกู้ ต่อมามีการส่งมองเงินกู้ภายหลัง ผลเป็นอย่างไร ฎ.10419/2557 ม.681 กฎหมายเพียงแต่กำหนดเงื่อนไขว่าการค้ำประกันจะมีได้ก็ต่อเมื่อเป็นการค้ำประกันหนี้อันสมบูรณ์เท่านั้น แต่หาได้มีบทมาตราใดบัญญัติว่าขณะทำสัญญาค้ำประกันหนี้ที่ค้ำประกันนั้นต้องเป็นหนี้อันสมบูรณ์อยู่แล้วไม่ ดังนั้น แม้ขณะที่โจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังไม่บริบูรณ์ เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้ส่งมอบเงินที่กู้ยืมให้แก่จำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมรับว่าภายหลังต่อมาโจทก์ได้ส่งมอบเงินที่กู้ยืมตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลยที่ 1 ครบแล้ว หนี้ตามสัญญากู้เงินจึงเป็นหนี้ที่สมบูรณ์ที่อาจทำสัญญาค้ำประกันได้แล้วตามม.650 วรรคสอง (ฎ.1579/2552) (ดังนั้น ค้ำประกันกับจำนอง ประกันหนี้ที่อาจเกิดขึ้นโดยสมบูรณ็ในอนาคตได้)
-ม.681 ใช้กับการจำนองด้วยตามม.707
-ถ้าไม่ได้รับเงินกู้เลย แม้มีหลักฐานการกู้ยืม ก็ถือว่าไม่สมบูรณ์ ไม่มีมูลหนี้ที่ผู้ค้ำประกันและผู้จำนองต้องรับผิด (ฎ.7755/2559 , 3769/2564)

7. ม.681 วรรคสี่ "หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้เพราะทำด้วยความสำคัญผิดหรือเพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุสำคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้นในขณะที่เข้าทำสัญญาผูกพันตน"
-ใช้กับจำนองด้วย
-ผู้ค้ำประกัน ผู้จำนอง รู้เหตุสำคัญผิด/ไร้ความสามารถในขณะเข้าค้ำประกันและจำนอง ต่อมาสัญญาถูกบอกล้างโมฆียกรรม ผลเป็นไปตามม.176 ถือเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม แต่ลูกหนี้ไม่คืนเงิน ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดตามม.681 วรรคสี่ ผู้จำนองต้องรับผิดตามม.681 วรรคสี่ , 707 (ถ้าม.681 วรรคสี่ จะออกข้อสอบ ก็ออกได้แค่นี้)

8. สัญญาค้ำประกันต้องระบุถึงหนี้ประธานเพียงใด ม.681 วรรคสอง และวรรคสาม
8.1) ม.685/1 "บรรดาข้อตกลงเกี่ยวกับการค้ำประกันที่แตกต่างไปจากมาตรา 681 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาตรา 686 มาตรา 694 มาตรา 698 และมาตรา 699 เป็นโมฆะ" กรณีนี้ทำให้สัญญาค้ำประกันโมฆะทั้งหมด (แต่ถ้าเป็นมาตราอื่น จะเป็นโมฆะเฉพาะบางส่วน)
-ถ้าหนี้ประธานเป็นหนี้ในอนาคต ที่จะสมบูรณ์ในอนาคต ใช้ม.681 วรรคสอง ถ้าหนี้ประธานไม่ใช่หนี้ในอนาคต ใช้ม.681 วรรคสาม
8.2) ม.681 วรรคสาม กรณีที่หนี้ประธานไม่ใช่หนี้ในอนาคต หรือไม่ใช่หนี้มีเงื่อนไข สัญญาค้ำประกันก็ระบุเพียงหนี้หรือสัญญาที่ค้ำประกันไว้โดยชัดแจ้งตามม.681 วรรคสาม ผู้ค้ำประกันจะได้รู้ว่าตนต้องรับผิดในหนี้ใดบ้าง สมควรที่ตนจะเข้าค้ำประกันหนี้ทุกหนี้หรือไม่ เช่น ข้าพเจ้าตกลงยอมค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินระหว่างแดงผู้ให้กู้กับดำผู้กู้ ฉบับลงวันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้น หากระบุไม่ชัดแจ้งตามม.681 วรรคสาม จะทำให้สัญญาค้ำประกันตกเป็นโมฆะตามม.685/1
-ฎ.199/2545 สัญญาค้ำประกันมิได้ระบุรายละเอียดว่าจำเลยที่ 2 ค้ำประกันหนี้คราวใด (จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ไปหลายครั้ง) และมีจำนวนเงินเท่าใดที่ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิด จึงเป็นเอกสารไม่สมบูรณ์และไม่อาจอนุมานได้ว่าผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดในจำนวนหนี้เท่าใด จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันโจทก์ตามฟ้อง (ฎีกาเก่าเทียบเคียง แต่ปัจจุบันม.681 วรรคสาม + 685/1 เป็นโมฆะ)
8.3) ม.681 วรรคสอง ค้ำประกันหนี้ในอนาคต "หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไขจะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริงก็ประกันได้ แต่ต้องระบุวัตถุประสงค์ในการก่อหนี้รายที่ค้ำประกัน ลักษณะของมูลหนี้ จำนวนเงินสูงสุดที่ค้ำประกัน และระยะเวลาในการก่อหนี้ที่จะค้ำประกัน เว้นแต่เป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวตามมาตรา 699 จะไม่ระบุระยะเวลาดังกล่าวก็ได้"
-หนี้ในอนาคตต้องระบุอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ระบุ สัญญาค้ำประกันตกเป็นโมฆะม.685/1
  --วัตถุประสงค์ในการก่อหนี้
  --ลักษณะของมูลหนี้
  --จำนวนเงินสูงสุดที่ค้ำประกัน
  --ระยะเวลาที่ค้ำประกัน ยกเว้นค้ำประกันเพื่อกิจการต่อเนื่องตามม.699 ไม่ระบุระยะเวลาก็ได้
-หนี้ในอนาคต เช่น เบิกเงินเกินบัญชี ค้ำประกันการทำงาน
-ฎ.4308/2565 เมื่อหนังสือสัญญาค้ำประกันทำขึ้นภายหลังพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมป.พ.พ.(ฉบับที่ 20)ฯ มีผลใช้บังคับ จึงต้องนำม.681 , 685/1 มาใช้บังคับ คดีนี้มูลหนี้ตามคำฟ้องเกิดขึ้นภายหลังการทำสัญญาค้ำประกัน กรณีจึงเป็นการประกันมูลหนี้ที่อาจสมบูรณ์ในอนาคต เมื่อสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 มิได้ระบุจำนวนเงินสูงสุดที่ค้ำประกัน และระยะเวลาในการก่อหนี้ที่จะค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงเป็นบรรดาข้อตกลงเกี่ยวกับการค้ำประกันที่แตกต่างไปจากม.681 วรรคสอง ตกเป็นโมฆะตามม.685/1 จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์
-ถ้ามีหนี้หลายมูลหนี้ บางมูลหนี้สัญญาค้ำประกันระบุชัดแจ้งตามม.681 วรรคสาม แต่บางมูลหนี้ระบุไม่ชัดแจ้ง หรือในส่วนหนี้ในอนาคต สัญญาค้ำประกันกลับระบุแตกต่างหรือไม่ครบตามม.681 วรรคสอง เฉพาะข้อตกลงในการค้ำประกันที่ไม่ชัดแจ้งหรือหนี้ในอนาคตเป็นโมฆะ แต่ข้อตกลงในส่วนการค้ำประกันหนี้ที่มีอยู่แล้วและชัดแจ้งก็สมบูรณ์ (เทียบข้อสอบเนติ 62 , ฎ.1023/2548)

9. สัญญาค้ำประกัน คุ้มถึงต้นเงินและดอกเบี้ยเพียงใด
-ม.683 "อันค้ำประกันอย่างไม่มีจำกัดนั้น ย่อมคุ้มถึงดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชำระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นด้วย"
-สัญญาค้ำประกันอย่างจำกัด ก็มีได้ เช่น กู้ 2 แสน ค้ำประกัน 1 แสน ก็เขียนให้ชัดเจน
-ถ้าสัญญาค้ำประกันระบุหนี้หรือสัญญาที่ค้ำประกันไว้โดยชัดแจ้งแล้ว หรือการค้ำประกันหนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข สัญญาค้ำประกันระบุลักษณะของมูลหนี้ วัตถุประสงค์และระยะเวลาในการก่อหนี้ค้ำประกันไว้แล้ว และระบุจำนวเงินที่ค้ำประกันไว้ลอย ๆ เช่น รับผิดในวงเงิน 1 แสนบาท กรณีนี้ต้องรับผิดตามจำนวนวงเงินที่ระบุไว้แต่ไม่เกินหนี้ประธาน และยังต้องรับผิดดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวด้วย (ฎ.3768/533)
-ถ้าสัญญาค้ำประกันระบุหนี้หรือสัญญาที่ค้ำประกันไว้โดยชัดแจ้งแล้ว แต่ไม่ระบุวงเงินที่ค้ำประกันไว้ และเป็นกรณีที่ไม่ใช่การค้ำประกันหนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข เห็นว่าต้องรับผิดต้นเงินเต็มตามจำนวนหนี้ที่ค้ำประกัน และยังต้องรับผิดดอกเบี้ยจากต้นเงินเต็มจำนวนดังกล่าวด้วย
-ถ้าสัญญาค้ำประกันระบุจำนวนไว้ชัดเจน เช่น ยอมค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยรวมทั้งอุปกรณ์แห่งหนี้ทั้งสิ้นตามสินเชื่อดังกล่าวให้แก่ธนาคารไม่เกิน 1 แสนบาท หรือจำกัดเวลาการค้ำประกันไว้ ก็รับผิดตามที่จำกัดไว้นั้น แต่ถ้าผู้ค้ำประกันผิดนัด ก็ต้องรับผิดดอกเบี้ยผิดนัดต่างหาก
-ฎ.302/2545 สัญญาค้ำประกันไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ ก็ต้องถืออัตราดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ในสัญญาหรือหนี้ประธาน

10. ผู้ค้ำประกันหลายคน ม.682 วรรคสอง (ม.682 วรรคหนึ่ง ผู้รับเรือนไม่มีฎีกา)
-ม.682 "ท่านว่าบุคคลจะยอมเข้าเป็นผู้รับเรือน คือเป็นประกันของผู้ค้ำประกันอีกชั้นหนึ่ง ก็เป็นได้
  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน"
-ม.682 วรรคสอง ออกข้อสอบบ่อย* รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน แม้จะเข้าค้ำประกันไม่พร้อมกันก็ตาม
-ข้อสอบเนติ 70 แดงกู้เงินดำ 2 ล้าน ขาวค้ำประกัน 1 ล้าน เขียวค้ำประกัน 1 ล้าน ขาวกับเขียวร่วมกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงิน 1 ล้าน ไม่ใช่ต่างคนต่างรับผิดคนละ 1 ล้าน (ฎ.2330/2538) เมื่อหนี้ถึงกำหนด ขาวชำระหนี้ให้ดำ 6 แสน ดำทำหนังสือปลดหนี้ค้ำประกันให้ขาว เขียวยังต้องรับผิดในหนี้ที่เหลือ 4 แสน (ฎ.12384/2558) 
-การที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้ผู้ค้ำประกันคนหนึ่งตามสัญญาค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันคนอื่นไม่หลุดพ้น ยังต้องรับผิด (แต่หากเป็นการปลดหนี้ประธาน จนหนี้ประธานระงับ จะทำให้ผู้ค้ำประกันทุกคนเป็นอันหลุดพ้น ไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ตามม.698)
-และถ้าถามต่อว่า ถ้าดำจะทวงจากแดง แดงต้องรับผิดเท่าไร ม.685 "ถ้าเมื่อบังคับตามสัญญาค้ำประกันนั้น ผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้ รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน และอุปกรณ์ด้วยไซร้ หนี้ยังเหลืออยู่เท่าใด ท่านว่าลูกหนี้ยังคงรับผิดต่อเจ้าหนี้ในส่วนที่เหลือนั้น" ถ้าเขียวไม่ได้จ่าย 4 แสน ก็ยังเหลือหนี้อยู่ 1 ล้าน 4 แสน ที่แดงจะต้องรับผิด
-ดำกู้เงิน 1 ล้าน มีขาวค้ำประกัน และเขียวค้ำประกัน ถึงกำหนดชำระ ขาวใช้หนี้แทน 1 ล้าน ขาวจะไล่เบี้ยจะเขียวได้เท่าไร เมื่อขาวกับเขียวเป็นลูกหนี้ร่วมกันตามม.682 วรรคสอง เมื่อผู้ค้ำประกันคนหนึ่งยอมชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ ย่อมรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ค้ำประกันอื่นได้ตามส่วนเท่า ๆ กัน ตามม.229(3) , 296 พร้อมดอกเบี้ย (ทันทีที่ได้ชำระเงิน) ตามม.224 วรรคหนึ่ง (ฎ.7125/2538 , 4337/2564) ขาวจึงไล่เบี้ยเขียวได้ 5 แสน (ถ้าขาวไม่ไล่เบี้ยเขียว แต่จะไล่เบี้ยดำ ก็ไล่เบี้ยได้ตามม.693 ซึ่งจะบรรยายครั้งหน้า)
-ถ้าถามว่า ลูกหนี้กู้เงิน 1 ล้าน มีผู้ค้ำประกัน 1 ล้าน และผู้จำนองที่ดิน 1 ล้าน หากผู้ค้ำประกันใช้หนี้แทนลูกหนี้แล้ว จะไล่เบี้ยผู้จำนองได้ไหม ไล่เบี้ยผู้จำนองไม่ได้ เพราะจำนองไม่เอาม.682 วรรคสอง ไปใช้  ผู้ค้ำประกันจะรับช่วยสิทธิเจ้าหนี้บังคับทรัพย์จำนองที่ไม่ใช่ของลูกหนี้ชั้นต้นไม่ได้ (ฎ.13337/2556)

11. การใช้สิทธิของเจ้าหนี้ ม.686 
-ม.686 เดิม เมื่อลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้ฟ้องผู้ค้ำประกันได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าว (ข้อสอบเนติ 57 ,67 , ฎ.5497/2562 , 1012/2563)
-ม.686 ปัจจุบัน (ใช้แนวเดิมไม่ได้แล้ว)
-ม.686 วรรคหนึ่ง "เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ำประกันมิได้ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ค้ำประกันที่จะชำระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ"
-ม.686 วรรคหนึ่ง เมื่อลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้ต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกัน จึงจะฟ้องผู้ค้ำประกันได้ หนังสือไม่ต้องมีแบบ มีข้อความให้เข้าใจว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดแล้ว
-สัญญาค้ำประกัน ทำก่อนกฎหมายฉบับนี้แก้ไข แต่หากลูกหนี้ผิดนัดในช่วงกฎหมายใหม่ ก็ต้องใช้ม.686 ใหม่
-การผิดนัด เป็นไปตามม.204 วรรคหนึ่ง หนี้ไม่ได้กำหนดชำระตามวันปฏิทิน เมื่อเตือนและให้เวลาสมควรแล้วไม่ชำระ ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือน และม.204 วรรคสอง กำหนดวันปฏิทิน ลูกหนี้ผิดนัดโดยไม่ต้องเตือน
-ถ้าลูกหนี้ยังไม่ผิดนัด แต่เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวผู้ค้ำประกัน ถือไม่ได้ว่าเป็นหนังสือบอกกล่าวตามม.686 วรรคหนึ่ง ไม่มีอำนาจฟ้อง (ฎ.2235/2562 , 4994/2562 , 1883/2566 ,ข้อสอบผู้ช่วย 63)
-เจ้าหนี้บอกกล่าวผู้ค้ำประกันด้วยวาจาไม่ได้ ไม่มีอำนาจฟ้อง ต้องทำเป็นหนังสือม.686 วรรคหนึ่ง เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
-เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้ว เจ้าหนี้บอกกล่าวเป็นหนังสือ ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ผิดนัด เป็นการปฏิบัติตามม.686 วรรคหนึ่ง แล้ว ผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดชำระต้นเงินและดอกเบี้ย รวมทั้งดอกเบี้ยที่ค้างชำระเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน จนกว่าจะชำระเสร็จด้วย (ฎ.459/2565 , 2649/2565)

12. ถ้าเจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันเกิน 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด ก็มีอำนาจฟ้องผู้ค้ำประกัน แต่ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดเพียงใด เป็นไปตามม.686 วรรคสอง
-ม่.686 วรรคสอง "ในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง"
-คือ ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดดอกเบี้ยก่อนผิดนัด , และต้องรับผิดดอกเบี้ยหลังผิดนัด 60 วัน (ส่วนดอกเบี้ยหลังผิดนัดตั้งแต่วันที่ 61 หลุดพ้น ไม่ต้องรับผิด เพราะบอกกล่าวเกินเวลา)
-ดูวันที่หนังสือไปถึงผู้ค้ำประกัน
-ม.685/1 "บรรดาข้อตกลงเกี่ยวกับการค้ำประกันที่แตกต่างไปจากมาตรา 681 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาตรา 686 มาตรา 694 มาตรา 698 และมาตรา 699 เป็นโมฆะ" ถ้าตกลงให้ฟ้องผู้ค้ำประกันได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวผู้ค้ำประกัน ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ

13. สิทธิและโทษของผู้ค้ำประกัน (5 สิทธิ (ก ก ล ล ล) + 1 โทษ)
13.1) สิทธิไม่ชำระก่อนกำหนด ม.687
13.2) สิทธิเกี่ยง ม.688-690
13.3) สิทธิเมื่อเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ลูกหนี้ ม.691
13.4) สิทธิยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ ม.694
13.5) สิทธิไล่เบี้ย (ไล่เบี้ยลูกหนี้ชั้นต้น) ม.693 , 695 , 696
13.6) โทษของผู้ค้ำประกัน ม.692

14. สิทธิเกี่ยง ม.688 , 689 , 690
-ผู้ค้ำประกันจะใช้ม.688 , 689 เกี่ยงให้เจ้าหนี้ไปฟ้องลูกหนี้ก่อนไม่ได้ แต่การจะฟ้องผู้ค้ำประกัน ปัจจุบันต้องอยู่ภายใต้บังคับม.686 ด้วย
-สิทธิเกี่ยงจะสะท้อนไปที่คำพิพากษา และชั้นบังคับคดี เมื่อเจ้าหนี้ฟ้องผู้ค้ำประกันมาพร้อมกับลูกหนี้ และความรับผิดของผู้ค้ำประกันไม่ต้องร่วมรับผิดกับลูกหนี้อย่างลูกหนี้ร่วม ศาลต้องพิพากษาให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระจึงให้ผู้ค้ำประกันชำระแทน (ฎ.3263/2562)
-ในชั้นบังคับคดี ถ้าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้ และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยาก เจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน เมื่อไม่พอจึงจะบังคับการชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของผู้ค้ำประกันตามม.689 (ฎ.8454/2544 , 5462/2549)
-ม.690 "ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน"

15. ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา จะตกลงยกเว้นไม่ใช้สิทธิเกี่ยงทั้งสามมาตราได้หรือไม่ คำตอบคือไม่ได้ เพราะการตกลงไม่ใช้สิทธิเกี่ยง เสมอเท่ากับเป็นข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม
-ม.681/1 "ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ
  ความในวรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับแก่กรณีผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นนิติบุคคลและยินยอมเข้าผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ในกรณีเช่นนั้นผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้นย่อมไม่มีสิทธิดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 688 มาตรา 689 และมาตรา 690"
-เคยออกข้อสอบเนติ 74 ในเรื่องนิติบุคคลเป็นผู้ค้ำประกันตามม.681/1 วรรคสอง (ฎ.2326/2564)

16. ม.691 (เจ้าหนี้ทำบุญ ลดหนี้ให้ลูกหนี้ ผลบุญส่งไปถึงผู้ค้ำประกันและผู้จำนองตามม.727 ด้วย)
-ถ้าเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ลูกหนี้ชั้นต้นเท่าใด ไม่ว่าจะลดเฉพาะต้น หรือดอกเบี้ย หรือลดทั้งต้นทั้งดอกเบี้ย ลดแค่ไหน ผู้ค้ำประกันได้สิทธินั้นด้วย

17. ม.694 ลูกหนี้ชั้นต้นมีข้อต่อสู้อะไร ผู้ค้ำประกันขอหยิบยกต่อสู้เจ้าหนี้ได้ด้วย
-ม.694 "นอกจากข้อต่อสู้ซึ่งผู้ค้ำประกันมีต่อเจ้าหนี้นั้น ท่านว่าผู้ค้ำประกันยังอาจยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วย"
-ข้อต่อสู้ของผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาค้ำประกัน เช่น สัญญาค้ำประกันเป็นโมฆียะ , ไม่มีหลักฐานการฟ้องร้อง , ขาดอายุความ 10 ปี ม.193/30 (ฎ.7933/2559 , 2208/2558) , ข้อต่อสู้ตามม.700 ฯลฯ
-ข้อต่อสู้ของลูกหนี้ตามสัญญาประธาน เช่น ลูกหนี้ไม่ผิดสัญญา , ลูกหนี้ชำระหนี้บางส่วน , หนี้ตามสัญญาประธานขาดอายุความ รวมถึงม.1754 วรรคสาม (ฎ.2659/2546 , 5996/2544 , ข้อสอบเนติ 55 , 61 , 1110/2555 , 2770/2560) หนี้ตามสัญญาประธานระงับ , หนี้ตามสัญญาประธานไม่มีหลักฐานการฟ้อง (ข้อสอบเนติ 49) ฯลฯ
-แยกให้ดี อะไรคือข้อต่อสู้ของผู้ค้ำประกันเอง และอะไรคือข้อต่อสู้ของลูกหนี้ (และหากไม่ใช้ข้อต่อสู้ อาจสิ้นสิทธิไล่เบี้ยตามม.695 ซึ่งจะพูดในครั้งหน้า)
-ข้อสอบเนติ 49 กู้ยืมเงิน 5,000 บาท โดยไม่มีหลักฐานการกู้ยืม แต่มีผู้ค้ำประกันโดยทำหลักฐานค้ำประกันไว้ด้วย ลูกหนี้ต่อสู้ได้ว่าไม่มีหลักฐานม.653 วรรคหนึ่ง ผู้ค้ำประกันมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ได้ตามม.694 เมื่อกรณีเป็นการกู้ยืมเงิน (ปัจจุบันกว่า 2,000 บาท) ที่ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ เจ้าหนี้จะฟ้องร้องบังคับคดีให้ลูกหนี้ชำระหนี้ไม่ได้ตามม.653 วรรคหนึ่ง ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด ดังนั้น ข้อต่อสู้ที่ว่าการกู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้นั้นรับฟังได้
-ดำเป็นหนี้ค่าสินค้าที่ซื้อมาใช้เอง 5 แสน (อายุความ 2 ปี) มีขาวเป็นผู้ค้ำประกัน มีหลักฐานการค้ำประกัน (อายุความ 10 ปี) ผ่านไป 3 ปี เจ้าหนี้ฟ้อง ดำต่อสู้ขาดอายุความ 2 ปี ได้ ขาวจึงยกข้อต่อสู้ของดำว่าขาดอายุความได้
-จะทำข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกันสละสิทธิไม่ยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้หรือไม่ (เดิม ฎีกาเก่า ๆ เคยตกลงได้) ปัจจุบัน  ม.685/1 "บรรดาข้อตกลงเกี่ยวกับการค้ำประกันที่แตกต่างไปจากมาตรา 681 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาตรา 686 มาตรา 694 มาตรา 698 และมาตรา 699 เป็นโมฆะ" ถ้าไปทำข้อตกลง ข้อตกลงก็เป็นโมฆะ เท่ากับไม่มีข้อตกลง ผู้ค้ำประกันก็ยกขึ้นต่อสู้ได้ 
-ม.694 ผู้จำนองจะยกข้อต่อสู้โดยอาศัยม.694 ไม่ได้ ไม่มีกฎหมายให้นำไปใช้ 

***จบการบรรยาย***

ความคิดเห็น

10 บทความยอดนิยมประจำสัปดาห์

แนวข้อสอบ พนักงานราชการ (ข้อ 1 - 10)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (30 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (ชุดที่ 1)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 (55 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

สาระสำคัญ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (ฉบับเตรียมสอบ)

แนวข้อสอบ ระเบียบฯ สารบรรณ (ชุดที่ 3)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (44 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

การฎีกาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของพนักงานอัยการโจทก์กับจำเลยที่แตกต่างกัน ขัดต่อรัฐธรรมนูญ (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 22/2565)