สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ (ครั้งที่ 8-9)

สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ (ครั้งที่ 8-9)
อาจารย์อภิชาติ คงชาตรี
วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2568
**********

อาจารย์แนะนำการเรียน อ่านเยอะ แต่ความรู้กระจัดกระจาย ไม่ได้ผลดี นักศึกษาควรจัดระบบความรู้ แต่ละเรื่องมีหลักคืออะไร ข้อยกเว้นอะไร หากต่อมาเจอข้อมูลเพิ่มขึ้น ก็จะรู้ว่าต้องจัดข้อมูลนั้นไว้ส่วนไหน ใส่เพิ่มเข้าไป ก็เป็นการทบทวนความรู้เดิมให้แม่นขึ้นด้วย

1. ม.702 "อันว่าจำนองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จำนอง เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจำนอง เป็นประกันการชำระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง
  ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่"
-ภาพรวมของม.702 ที่จะศึกษา ผู้จำนอง , ทรัพย์สินที่จำนอง , วิธีการจำนอง (ตราไว้) , เป็นประกันการชำระหนี้ (หนี้อุปกรณ์) , จึงไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ผู้รับจำนอง , จำนองเป็นทรัพยสิทธิ

2. ผู้จำนอง 
-ผู้จำนอง อาจเป็นลูกหนี้ชั้นต้น (ประกันหนี้ของตนเอง) หรือบุคคลที่สามก็ได้ (ม.709 บุคคลจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ)
-ผู้จำนอง ต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่จำนอง ต้องมีกรรมสิทธิ์ (ม.705 , 706)
-ม.705 "การจำนองทรัพย์สินนั้น นอกจากผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นแล้ว ท่านว่าใครอื่นจะจำนองหาได้ไม่"
-ม.706 "บุคคลมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินแต่ภายในบังคับเงื่อนไขเช่นใด จะจำนองทรัพย์สินนั้นได้แต่ภายในบังคับเงื่อนไขเช่นนั้น"
-ฎ.1099/2550 กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทรวมทั้งสิ่งปลูกสร้าง ยังคงเป็นมรดกของ ถ. หาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ว. ไม่ เมื่อ ว. ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้ว ก็ไม่มีสิทธินำไปจำนองแก่ผู้ใด แม้โจทก์จะอ้างว่ารับจำนองไว้โดยสุจริต ก็หามีผลให้โจทก์กลับมีสิทธิตามนิติกรรมจำนองไม่ การจำนองจึงไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทที่แท้จริง (ไม่มีกรรมสิทธิ์ การจำนองไม่ผูกพัน)
-ฎ.5423/2553 การที่จำเลยเจ้าของรวมคนหนึ่ง จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนของตนต่อโจทก์ จึงเป็นการจนองเฉพาะส่วนแห่งสิทธิของตนเท่านั้นตามม.1361 วรรคหนึ่ง ย่อมไม่กระทบถึงส่วนแห่งสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่น (เจ้าของรวม จำนองได้เฉพาะส่วนของตน)
-ฎ.196/2564 โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท จึงไม่มีสิทธิขอรับโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของตน ไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายแก่จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธินำที่ดินไปขายแก่จำเลยที่ 5 กับจำเลยที่ 5 ไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 6 เนื่องจากจำเลยที่ 4 , 5 ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เพราะรับโอนมาจากผู้ไม่มีสิทธิตามหลักกฎหมายผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน และจำเลยที่ 5 ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทตามม.705 แม้จำเลยที่ 6 รับจำนองไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ก็ไม่มีผลผูกพัน 
2.1) สละการครอบครองแล้ว ไม่ใช่เจ้าของ
-ฎ.6229/2549 อ. ขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ โดยทำเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงนเจ้าหน้าที่ อ.ได้สละเจตนาครอบครองที่ดินพิพาท และโอนการครอบครองโดยส่งมอบที่ดินพิพาทแก่โจทก์ และโจทก์เข้าครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนในวันที่ซื้อขายแล้ว ดังนั้น การครอบครองที่ดินพิพาทของ อ. จึงสิ้นสุดลง และโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองไปตามม.1367 , 1377 , 1378 อ.ไม่ใช่เจ้าของ และไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปจำนองแก่จำเลยที่ 2 เพราะต้องห้ามตามม.705 การจำนองจึงไม่มีผล โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยที่ 2 สุจริตหรือไม่ เพราะสิทธิของผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่ห้ามมิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตามม.1299 วรรคสอง นั้น ต้องเป็นการได้สิทธิในที่ดินที่ได้จดทะเบียนแล้ว และสิทธิที่ได้นั้นต้องเกิดจากเอกสารสิทธิของที่ดินที่ออกโดยชอบ เมื่อการออกโฉนดที่ดินพิพาทไม่ชอบ จำเลยที่ 2 จะอ้างสิทธิที่เกิดจากที่ดินส่วนที่ออกโดยไม่ชอบดังกล่าวหาได้ไม่ กรณีไม่อยู่ในบังคับม.1299 วรรคสอง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจำนองที่ดินพิพาทระหว่าง อ. กับจำเลยที่ 2 ได้ (ฎ.539/2566)
2.2) ผู้จำนอง ต้องไม่ได้สิทธิมาโดยการแจ้งเท็จ หรือลักเอกสาร หรือปลอมลายมือชื่อ
-ข้อสอบเนติ 52 , ฎ.1882/2514 ขาวฟ้องดำและแดง ขอให้เพิกถอนการรับโอนมรดกที่ดินและสัญญาจำนอง เพราะดำไม่ใช่ทายาทของผู้ตาย การที่ดำไปขอรับโอนมรดกที่ดินได้แจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดิน จึงไม่ได้สิทธิทางทะเบียนโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาวทายาทของผู้ตายมิได้รู้เห็นยินยอม และจะฟังว่าขาวประมาทเลินเล่อก็ไม่ได้ เมื่อดำไม่ใช่เจ้าของ ดำจึงไม่มีสิทธิที่จะจำนองตามม.705 
2.3) ข้อยกเว้น แม้ไม่ใช่เจ้าของ แต่จำนองผูกพัน
-เจ้าของประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เช่น ลงชื่อในใบมอบอำนาจโดยไม่กรอกข้อความ (เปิดโอกาสให้มีการปลอมหนังสือมอบอำนาจ หรือนำไปใช้ในกิจการอื่น จะยกเอาผลที่เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน มาฟ้องเพิกถอนบุคคลภายนอกที่รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหาได้ไม่) ถ้าเจ้าของไม่ได้ประมาทเลินเล่อ ไม่เข้าข้อยกเว้น จึงกลับไปหาหลัก คือ จำนองไม่มีผลผูกพัน แม้ผู้รับจำนองสุจริตก็ตาม
-เจ้าของรวมยอมให้ผู้อื่นหรือเจ้าของรวมบางคน แสดงตนว่าเป็นเจ้าของทรัพย์นั้นแต่ผู้เดียว เช่น ยอมให้เจ้าของรวมใส่ชื่อในโฉนดที่ดินคนเดียว กรณีเมื่อเข้าข้อยกเว้นแล้ว ต้องดูต่อไปด้วยว่าผู้รับจำนองสุจริตหรือไม่ (รู้หรือไม่ว่าผู้จำนองเป็นเจ้าของทรัพย์ส่วนใด)
  --ถ้าผู้รับจำนองไม่รู้ว่ามีผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมด้วย การจำนองสมบูรณ์ มีผลผูกพันทรัพย์จำนองทั้งหมดทุกส่วน
  --ถ้าผู้รับจำนองรู้ว่าผู้จำนองเป็นเจ้าของทรัพย์สินบางส่วน แสดงว่าประสงค์รับจำนองเฉพาะส่วนของเจ้าของรวมคนนั้นเท่านั้น การจำนองไม่ผูกพันที่ดินทั้งแปลง เจ้าของรวมคนอื่นขอแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นโดยไม่ติดจำนองได้
-ผู้ที่ยังไม่จดทะเบียนการได้มา เอกสารสิทธิเป็นชื่อเจ้าของเดิม เจ้าของเดิมผู้มีชื่อนำไปจำนอง จำนองสมบูรณ์
  --ผู้ครอบครองปรปักษ์ แต่ยังไม่จดทะเบียนการได้มา ยังไม่บริบูรณ์ ผู้มีชื่อเดิมนำไปจำนอง จำนองนั้นสมบูรณ์ แม้ศาลมีคำสั่งรับรองการครอบครองปรปักษ์แล้ว ก็บังคับจำนองได้
  --ได้สิทธิมาตามคำพิพากษาตามยอม เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยนิติกรรม เมื่อยังมิได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงยังไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิตามม.1299 วรรคหนึ่ง
2.4) ความเป็นเจ้าของ ดูขณะจำนอง (ม.705)
-ได้มาโดยนิติกรรมโมฆียะ เป็นเจ้าของ เพราะนิติกรรมที่เป็นโมฆียะกรรมยังมีผลสมบูรณ์ใช้ได้จนกว่าจะถูกบอกล้างโดยชอบ หากยังไม่มีการบอกล้าง ผู้ได้สิทธิมาโดยนิติกรรมอันเป็นโมฆียะ ก็ยังมีสิทธิในทรัพย์สิน เมื่อนำไปจำนองจึงสมบูรณ์ ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย , และแม้ต่อมามีการบอกล้างโมฆียะกรรม ทำให้ที่ดินโอนกลับไปเจ้าของเดิม นิติกรรมจำนองย่อมตกติดไปด้วย เจ้าของที่ดินเดิมไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมจำนอง (ฎ.3022/2562)
-มีการบอกเลิกสัญญาภายหลัง ซื้อขายที่ดินแล้ว ผู้ซื้อนำไปจำนอง ผู้ซื้อผิดนัดชำระค่าที่ดิน มีการบอกเลิกสัญญาอันมีผลให้คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังที่เป็นอยู่ แต่จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่ตามม.391 วรรคหนึ่ง เจ้าของที่ดินเดิมไม่อาจขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองที่ดินได้ จึงต้องจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์คืนที่ดินโดยติดจำนอง (ฎ.3332/2554)
-กรณีจำนองระหว่างเป็นความ (ครอบครองแทนผู้ชนะ) หากภายหลังศาลวินิจฉัยว่าไม่ใช่เจ้าของ ถือว่าไม่ใช่เจ้าของ
  --รับจำนองไว้โดยรู้ว่าเขาเป็นความกัน ต่อมาผู้จำนองไม่มีสิทธิในที่ดิน การจำนองไม่ผูกพันเจ้าของที่แท้จริง
  --รับจำนองโดยรู้ว่าผู้จำนองอยู่ระหว่างถูกบังคับคดี รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเสียเปรียบตามม.237 ผู้รับจำนองจึงไม่อาจที่จะขอรับชำระหนี้ก่อนได้ (ฎ.5881/2541)
-กรณีผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด จำนองในระหว่างมีการพิจารณาคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด หากต่อมาศาลเพิกถอนการขายทอดตลาด (ต้องถือเสมือนว่าไม่มีการขายทอดตลาด และไม่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนสิทธิครอบครอง และผู้ซื้อทอดตลาดไม่ได้รับความคุ้มครองเพราะมิใช่กรณีตามม.1330) ผู้ซื้อทอดตลาดไม่ใช่เจ้าของที่ดินและไม่อาจนำมาจดทะเบียนจำนองได้ (ฎ.5746/2544)
2.5) ผู้จำนองตามม.702 , 705 ไม่รวมถึงผู้รับโอนทรัพย์จำนอง ซึ่งอยู่ในหมวด 5
-ฎ.4105/2548 ผู้รับโอนทรัพย์สินที่จำนอง ก็มีหน้าที่เพียงปลดเปลื้องภาระจำนองด้วยการไถ่ถอนจำนอง

3. เอาทรัพย์สินตราไว้
3.1) เป็นการประกันด้วยทรัพย์สิน ก็บังคับกับตัวทรัพย์สินนั้น
3.2) ตราไว้ คือ ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามม.714 "อันสัญญาจำนองนั้น ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่" สังเกตคำ ถ้าไม่ทำตามแบบ ตกเป็นโมฆะ (ถ้าจำนองโดยไม่ใช่เจ้าของ ไม่ผูกพันเจ้าของ)
-ทำเป็นหนังสือ คู่สัญญาลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย (ไม่ใช่เพียงหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด)
-ไม่มีกฎหมายให้อำนาจลงลายมือชื่อแทนกันได้ , แต่สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นทำสัญญาแทนได้
-ถ้าคู่สัญญาเป็นนิติกรรม ต้องลงชื่อโดยกรรมการที่มีอำนาจ รวมทั้งต้องประทับตราสำคัญของบริษัทตามที่กำหนดไว้ในหนังสือรับรองของบริษัท
-ตราบใดที่ยังไม่ได้จดทะเบียนจำนอง การจำนองยังไม่เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ เพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ สัญญาจำนองตกเป็นโมฆะ
-เจตนาจำนอง แต่จดทะเบียนขายฝาก นิติกรรมขายฝากเป็นการแสดงเจตนาลวง ตกเป็นโมฆะ ม.155 วรรคสอง , จำนองก็ไม่ได้จดทะเบียน จึงเป็นเพียงมอบที่ดินให้ยึดถือเป็นประกันการกู้เงิน
-ฎ.6664/2556 แม้จำเลยในฐานะผู้ให้กู้ยืมจะไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินไว้ตามม.241 เพราะหนี้เงินกู้ไม่เกี่ยวกับตัวทรัพย์พิพาท แต่เมื่อข้อตกลงตามสัญญากู้ระบุให้ผู้ให้กู้มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทไว้เป็นประกันจนกว่าผู้กู้จะชำระหนี้ (ไม่ใช่จำนอง) เป็นข้อตกลงที่คู่สัญญาสมัครใจทำกันไว้ ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมมีผลบังคับ ผู้ให้กู้จึงมีสิทธิยึดถือทรัพย์ที่นำมาประกันไว้จนกว่าผู้กู้จะชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอโฉนดที่ดิน และหนังสือสัญญากู้เงินคืนจนกว่าโจทก์จะได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลย , แต่ถ้าหนี้ขาดอายุความหรือพ้นกำหนดเวลาบังคับคดี 10 ปี ก็ไม่มีมูลหนี้ที่เจ้าหนี้จะยึดโฉนดของลูกหนี้ไว้อีกต่อไป , หรือถ้าหนี้ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมที่จะฟ้องร้องบังคับคดีได้ ก็ไม่มีสิทธิยึดโฉนดที่ดินไว้
-ฎ.2286/2538 (มอบโฉนดที่ดินไว้พร้อมด้วยใบมอบอำนาจ แต่ไม่ได้จดทะเบียนจำนองให้ถูกต้อง) จำเลยมอบโฉนดที่ดินไว้พร้อมด้วยใบมอบอำนาจเพื่อจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ขายลดเช็ค แม้จะมีข้อกำหนดให้นำไปจดทะเบียนจำนองได้หลังจากเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยมีเจตนาที่จะเอาทรัพย์จำนองเป็นประกันนั่นเอง เมื่อไม่ได้มีการจดทะเบียนจำนองให้ถูกต้อง สัญญาจำนองจึงเป็นโมฆะ และป.พ.พ. บรรพ 3 อันเป็นเอกเทศสัญญาไม่ได้บัญญัติให้มีสัญญาในลักษณะซึ่งจะเป็นสัญญาจะจำนองได้ เมื่อสัญญาจำนองเป็นโมฆะ และสัญญาจะจำนองมีขึ้นไม่ได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ขายลดเช็ค (ข้อสอบผู้ช่วย 46) 
-สัญญาจะจำนอง ไม่มีตามกฎหมาย
-ข้อยกเว้น ไม่จดทะเบียนจำนอง ก็มีผล (ข้อยกเว้นข้อเดียวที่ไม่ต้องจดทะเบียนจำนอง การโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ประธานตามม.306 วรรคหนึ่ง เมื่อโอนหนี้ประธาน หลักประกันจะโอนไปด้วย) ฎ.2260/2562 ม.306 วรรคหนึ่ง บัญญัติเพียงแต่ว่าการโอนสิทธิเรียกร้องจะต้องทำเป็นหนังสือจึงจะสมบูรณ์ หาได้กำหนดบังคับไม่ว่าจะต้องนำความไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อการโอนสิทธิเรียกร้องได้ทำตามแบบพิธีการ ด้วยการทำเป็นหนังสือและบอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้ เป็นการถูกต้องสมบูรณ์ตามม.306 วรรคหนึ่ง แล้ว ประกอบกับการโอนสิทธิเรียกร้องคือการโอนหนี้ประธานระหว่างเจ้าหนี้เดิมกับลูหนี้ และเมื่อได้โอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้ดังกล่าวไป ย่อมเกิดผลในทางกฎหมายทำให้สิทธิจำนอง สิทธิจำนำ หรือหลักประกันทางธุรกิจที่มีอยู่เกี่ยวพันกับสิทธิเรียกร้อง สิทธิอันเกิดขึ้นแต่การค้ำประกันที่ได้ให้ไว้เพื่อสิทธิเรียกร้องย่อมตกไปได้แก่ผู้รับโอนตามม.305 วรรคหนึ่ง โดยเจ้าหนี้ผู้รับโอนมิพักต้องทำสัญญาจำนอง สัญญาจำนำ กับลูกหนี้เป็นฉบับใหม่อีก สิทธิดังกล่าวก็มีผลใช้บังคับระหว่างกันได้ อันแตกต่างไปจากกรณีของการก่อหนี้สัญญาจำนองปกติทั่วไป ซึ่งต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดคือต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามม.714
3.3) ทบทวน ข้อเท็จจริงในคำถาม
-ถ้าส่งมอบโฉนดอย่างเดียว เป็นบุคคลสิทธิ เจ้าหนี้มีสิทธิยึดโฉนดที่ดินไว้ได้ แต่ไม่ใช่จำนอง ไม่ใช่ทรัพยสิทธิ
-ถ้ามอบโฉนด สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน แต่ไม่ได้ลงชื่อในใบมอบอำนาจ หากยังไม่ได้จดทะเบียนจำนอง การจำนองยังไม่ทำตามแบบ จำนองยังไม่เกิดขึ้น
-ถ้าส่งมอบโฉนดและใบมอบอำนาจที่ลงชื่อโดยไม่กรอกข้อความ หากมีการจดทะเบียนจำนอง ถือว่าเจ้าของประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง (เข้าข้อยกเว้นเรื่องความเป็นเจ้าของ)
-ถ้าส่งมอบโฉนดและใบมอบอำนาจที่ลงชื่อให้ไปจดทะเบียนจำนอง
  --เมื่อไม่จดทะเบียนจำนอง ตกเป็นโมฆะ
  --เมื่อผู้มอบอำนาจตาย ใบมอบอำนาจย่อมระงับ ผู้รับโฉนดไว้ ไม่มีสิทธิยึดโฉนดไว้
-ถ้ามีข้อตกลงจะจำนอง (สัญญาจะจำนอง) ตกเป็นโมฆะ ฟ้องบังคับให้จะทะเบียนจำนองไม่ได้
3.4) ไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง ม.702
3.5) ทรัพย์ที่อาจจำนองได้ คือ อสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ตามม.703
-ม.703 "อันอสังหาริมทรัพย์นั้นอาจจำนองได้ไม่ว่าประเภทใด ๆ
  สังหาริมทรัพย์อันจะกล่าวต่อไปนี้ก็อาจจำนองได้ดุจกัน หากว่าได้จดทะเบียนไว้แล้วตามกฎหมาย คือ
  (1) เรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป
  (2) แพ
  (3) สัตว์พาหนะ
  
(4) สังหาริมทรัพย์อื่นใด ๆ ซึ่งกฎหมายหากบัญญัติไว้ให้จดทะเบียนเฉพาะการ"

4. ผู้รับจำนอง หมายถึงเจ้าหนี้ รวมถึงตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ที่ไม่ปรากฏชื่อในสัญญาจำนอง (กรรมการมีชื่อเป็นผู้รับจำนองแทนบริษัท) , ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องตามม.306
-เป็นหนี้บริษัท แต่ไปจำนองต่อกรรมการผู้จัดการบริษัท การจำนองไม่มีผลบังคับ ผู้รับจำนองไม่ใช่เจ้าหนี้
-ฎ.4436/2545 (ข้อสอบเนติ 60) การที่จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่โจทก์นั้น แท้จริงแล้วเป็นการจำนองประกันหนี้ที่จำเลยที่ต่อ อ. โจทก์ผู้รับจำนองจึงมิได้เป็นเจ้าหนี้ในมูลหนี้ที่จำเลยจำนองที่ดินเป็นประกัน สัญญาจำนองจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงบังคับจำนองแก่จำเลยไม่ได้
-ฎ.817/2521 ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่าผู้รับจำนองจะต้องเป็นเจ้าหนี้ในมูลหนี้ที่มีการจำนองประกันนั้น ซึ่งอาจเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในอนาคต หรือหนี้มีเงื่อนไข จะจำนองไว้เพื่อหนี้นั้น อาจเป็นผลได้จริง ก็จำนองได้ ส่วนผู้จำนองจะเป็นลูกหนี้หรือบุคคลอื่นใดก็ได้ไม่จำกัด เมื่อโจทก์ที่ 2 ผู้รับจำนอง ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ สัญญาจำนองจึงไม่มีหนี้ที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2

5. ประกันการชำระหนี้
5.1) หนี้ หมายถึง หนี้ประธาน
-ฎ.40/2513 จำนองเป็นสัญญาที่เอาทรัพย์สินตราไว้เป็นประกันการชำระหนี้ จึงมีหนี้ที่จะต้องชำระแก่กันอันเป็นหนี้ประธาน และมีจำนองเป็นอุปกรณ์ของหนี้นั้น การบังคับจำนองจึงจะกระทำได้
-ฎ. 11488/2554 หนี้ตามหนังสือสัญญาจำนองเป็นหนี้อุปกรณ์ที่มีขึ้นเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ประธานคือหนี้เงินที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ กรณีจึงไม่มีหนี้ประธาน โจทก์จึงไม่อาจฟ้องให้จำเลยในฐานะผู้จำนองรับผิดตามสัญญาจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ได้
5.2) หนี้ที่จำนองเป็นประกันต้องเป็นหนี้ที่สมบูรณ์ ตามม.707 "บทบัญญัติมาตรา 681 ว่าด้วยค้ำประกันนั้น ท่านให้ใช้ได้ในการจำนองอนุโลมตามควร" และม.681 จะทำได้เฉพาะหนี้ที่สมบูรณ์ 
-ถ้าหนี้ไม่สมบูรณ์ จำนองไม่มีผลบังคับ (และอีก 2 คำ ที่บรรยายก่อนหน้าแล้ว ถ้าไม่ทำตามแบบ ตกเป็นโมฆะ , ถ้าจำนองโดยไม่ใช่เจ้าของ ไม่ผูกพันเจ้าของ)
-หนี้ไม่สมบูรณ์ การจำนองก็ไม่มีผลบังคับ เช่น ไม่ส่งมอบเงินกู้ยืม (แม้มีหลักฐานการกู้ยืม) , ส่งมอบหนี้เงินกู้บางส่วน ก็บังคับจำนองได้เพียงส่วนที่จะต้องรับผิดตามสัญญากู้เงิน , หนี้ประธานตกเป็นโมฆะ ผู้จำนองจึงไม่ต้องรับผิด 
-ฎ.8508/2563 , 8425/2563 การที่โจทก์บริษัทผู้ให้เช่าซื้อ ให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อในแบบสัญญาที่โจทก์พิมพ์ไว้ล่วงหน้าว่า จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และยินยอมรับผิดล่งหน้าอีกหลายประการ เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมายค้ำประกัน ถือว่าโจทก์ผู้ประกอบธุรกิจ ไม่ใช้สิทธิแห่งตนโดยสุจริตโดยคำนึงถึงมาตรฐานการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธณรม ตามพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ ม.12 สัญญายินยอมเป็นลูกหนี้ร่วมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ (ถ้ามีการจำนอง ก็บังคับจำนองไม่ได้)
-ฎ.1884/2566 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินธนาคารโจทก์แล้วผิดนัดชำระหนี้ จึงมีการตกลงทำหนังสือปรับโครงสร้างหนี้ แล้วจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ลงชื่อในหนังสือรับชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม เป็นการกระทำด้วยความสมัครใจและตรงตามเจตนาของโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยม.680 และ 680/1 วรรคหนึ่ง จึงใช้บังคับได้ (ถ้ามีการจำนอง ก็บังคับจำนองได้)
-ฎ.2143/2566 แม้สัญญาจำนองที่ดินพิพาทระหว่าง อ. กับโจทก์จะระบุว่าคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถเรียกได้ตามม.654 ก็ตาม แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจาก อ. ร้อยละ 2 ต่อเดือน ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในสัญญาจำนอง ซึ่งเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ฝ่าฝืนพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ม.4(1) มีผลทำให้ข้อตกลงในส่วนของดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่อาจคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาจำนอง แต่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ตามม.224 วรรคหนึ่ง , การที่โจทก์ฟ้องขอบังคับจำนองโดยเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่ระบุไว้ในสัญญาจำนอง แต่ศาลเห็นว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในสัญญาจำนอง ดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองจึงตกเป็นโมฆะ แต่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ ยังถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ยังคงมีสิทธิบังคับจำนองโดยยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ต้นเงินที่เหลือ พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดได้
-นำดอกเบี้ยเกินอัตรามาเป็นต้นเงินที่จำนอง ฎ.4372/2545 การที่โจทก์นำเงินดอกเบี้ยที่คิดในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ ประกอบม.654 ไปรวมเข้ากับต้นเงิน 300,000 บาท ที่กู้ยืมนั้น แสดงว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะแบ่งแยกการกู้เงินออกเป็นสองส่วน คือ เฉพาะนิติกรรมกู้ยืมส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเท่านั้นที่ตกเป็นโมฆะ ส่วนนิติกรรมการกู้ยืมในส่วน 300,000 บาท ยังคงสมบูรณ์อยู่ตามม.173 หนี้กู้ยืมระหว่างโจทก์จำเลยในส่วนนี้จึงเป็นหนี้ที่สมบูรณ์ จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้ในวงเงิน 360,000 บาท สัญญาจำนองดังกล่าวจึงมีผลบังคับได้ตามจำนวนหนี้ประธานที่สมบูรณ์คือจำนวน 300,000 บาท เมื่อโจทก์บอกล่าวบังคับจำนองแล้ว โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองในหนี้ส่วนนี้ได้
5.3) เมื่อเป็นหนี้สมบูรณ์แล้ว แม้ขาดหลักฐานแห่งการฟ้องร้อง ก็จำนองประกันหนี้นั้นได้ (เพราะหลักฐานการฟ้อง ใช้สำหรับฟ้องหนี้ประธาน)
-ฎ.1604/2536 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 แม้การกู้ยืมเงินขาดหลักฐานตามกฎมหาย ก็เพียงต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีเอากับจำลยที่ 1 เท่านั้น เมื่อมีหนี้การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่จริงและสมบูรณ์ตามกฎหมาย ย่อมมีการจำนองเป็นประกันได้ตามม.707 , 681 เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ โจทก์ย่อมบังคับเอากับผู้จำนองได้
-ฎ.1112/2566 แม้ข้อความสนทนาผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ยังฟังไม่ได้ว่าเงิน 7,800,000 บาท ที่โจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 ไปเป็นเงินกู้ยืม จึงไม่อาจถือว่าเป็นหลักฐานกู้ยืมเงินเป็นหนังสือที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อไว้ หรือเป็นหนังสือรับสภาพหนี้
-เช่น เจ้าหนี้เลือกฟ้องอย่างเจ้าหนี้สามัญ ต้องมีหลักฐานการฟ้องร้อง มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ได้ แต่ก็อาจถูกเฉลี่ยทรัพย์โดยเจ้าหนี้อื่น , หรือเจ้าหนี้อาจเลือกฟ้องอย่างเจ้าหนี้มีประกัน แม้ไม่มีหลักฐานการฟ้องร้อง แต่มีการจดทะเบียนจำนองไว้ ก็บังคับได้เฉพาะทรัพย์สินที่จำนอง (เว้นแต่มีข้อตกลงให้บังคับกับทรัพย์อื่นฯ ม.733) และมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญ
5.4) หนี้ขาดอายุความ บังคับจำนองได้ ม.745 "ผู้รับจำนองจะบังคับจำนองแม้เมื่อหนี้ที่ประกันนั้นขาดอายุความแล้วก็ได้ แต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่าห้าปีไม่ได้"
5.5) หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข ก็ประกันได้ ม.707 "บทบัญญัติมาตรา 681 ว่าด้วยค้ำประกันนั้น ท่านให้ใช้ได้ในการจำนองอนุโลมตามควร" , ม.681 วรรคสอง "หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันเพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้"
-เช่น ประกันความรับผิดในการทำงานของลูกจ้าง , ประกันหนี้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี
-ฎ.3429/2542 แม้จำเลยจดทะเบียนจำนองทรัพย์ให้ไว้แก่โจทก์ก่อนเปิดบัญชีเดินสะพัดและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีก็ตาม แต่ม.681 วรรคสอง กำหนดว่าหนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไขจะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้ และม.707 กำหนดว่าบทบัญญัติม.681 ว่าด้วยค้ำประกัน ให้ใช้ได้ในการจำนองอนุโลมตามควร ดังนั้น แม้ว่าสัญญาจำนองจะเป็นหนี้อุปกรณ์ แต่ก็สามารถประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเป็นหนี้ในอนาคตได้
-จำนองก่อนส่งมอบเงินกู้ก็ได้ (ฎ.1539/2552)
-ฎ.2124/2565 ผู้ร้องเป็นผู้รับจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งม.702 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้รับจำนองเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ และตามข้อตกลงต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนองที่จำเลยและผู้คัดค้านจดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ มีข้อความระบุว่า ผู้จำนองจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยที่มีอยู่ต่อผู้รับจำนองในเวลานี้หรือในเวลาหนึ่งเวลาใดภายหน้า แสดงให้เห็นได้ชัดว่า นอกจากจะเป็นการจำนองประกันหนี้ตามสัญญาจำนองดังกล่าวแล้ว ผู้จำนองยังตกลงจำนองประกันหนี้ของจำเลยที่จะมีขึ้นต่อผู้รับจำนองในภายหน้าด้วย ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยยังคงค้างชำระหนี้ตามสัญญากู้แก่ผู้ร้อง จึงถือได้ว่าจำเลยยังมีหนี้ที่ต้องรับผิดต่อผู้ร้องตามสัญญาจำนองรายนี้อยู่ แม้จำเลยจะได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ที่จำเลยและผู้คัดค้านนำที่ดินแปลงดังกล่าวมาจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ครบถ้วนแล้วก็ตาม ก็หามีผลทำให้สัญญาจำนองระงับสิ้นไป ผู้ร้องในฐานะผู้รับจำนองจึงเป็นผู้มีบุริมสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น

6. ข้อสังเกต เปรียบเทียบระหว่างค้ำประกันกับจำนอง
6.1) ความเหมือน แม้การกู้ยืมเงินขาดหลักฐานตามกฎหมาย ก็เพียงต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีเอากับผู้กู้เท่านั้น เมื่อหนี้การกู้ยืมเงินมีอยู่จริงและสมบูรณ์เพียงใด ย่อมมีการค้ำประกันหรือการจำนองได้เพียงนั้น
6.2) ความต่าง 
-การกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานฟ้องร้อง จำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน 
-ผู้ค้ำประกันมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ว่าไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเงินขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ตามม.694 อันจะส่งผลให้ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด แต่ผู้จำนองไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้ดังกล่าว จึงยังต้องรับผิด 

7. เป็นประกัน
7.1) หนี้ประธานถึงกำหนด หนี้จำนองย่อมถึงกำหนดเช่นกัน
-ฎ.5753/2537 เมื่อหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี อันเป็นหนี้ประธานถึงกำหนด หนี้ตามสัญญาจำนองอันเป็นหนี้อุปกรณ์ที่ ว. และจำเลยทำไว้เป็นประกันหนี้ประธานดังกล่าว ย่อมถึงกำหนดเช่นกัน
7.2) คิดดอกเบี้ย ได้เพียงเท่าดอกเบี้ยของหนี้ประธาน ได้ไม่เกินหนี้ประธาน
7.3) เมื่อหนี้ประธานระงับ สัญญาจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ย่อมระงับไปด้วย ม.744(1)

8. ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ 
-ผู้รับจำนองมีบุริมสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
-ฎ.2283/2539 แม้เจ้าหนี้อื่นจะบังคับคดีขายทอดตลาด ผู้รับจำนองก็ยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อน

***จบการบรรยาย***

ความคิดเห็น

10 บทความยอดนิยมประจำสัปดาห์

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 (55 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (ชุดที่ 1)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

แนวข้อสอบ พนักงานราชการ (ข้อ 1 - 10)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (30 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 (20 ข้อ)

แนวข้อสอบ ระเบียบฯ การลาของข้าราชการ (ชุดที่ 2)

สาระสำคัญ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (ฉบับเตรียมสอบ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 (ชุดที่ 1)