สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายครอบครัว (ครั้งที่ 2)

สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายครอบครัว (ครั้งที่ 2)
อาจารย์ชาติชาย อัครวิบูลย์
วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2568
**********

1. วันนี้เริ่มที่เรื่องสินสอด ม.1437 วรรคสาม สินสอด เป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายผู้หมั้นให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองฝ่ายผู้รับหมั้น แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่ผู้รับหมั้นยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ผู้รับหมั้นหรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบ ทําให้ผู้หมั้นไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับผู้รับหมั้นนั้น ฝ่ายผู้หมั้นเรียกสินสอดคืนได้
-ชายกับชาย ก็สามารถให้สินสอดกันได้
-หญิงกับหญิง ก็สามารถให้สินสอดกันได้
-หญิงจะให้สินสอดชายก็เป็นได้ อาจารย์เห็นว่าเพราะกฎหมายใหม่เป็นเรื่องความเสมอภาค
-สินสอด ต้องเป็นทรัพย์สิน อาจเป็นสิทธิเรียกร้องก็ได้ เช่น นำเช็คที่ผู้อื่นสั่งจ่ายสลักหลังให้ แต่ข้อตกลงว่าจะยกบุตรคนเล็กให้เป็นบุตรบุญธรรมของอีกฝ่ายทำไม่ได้
-ฎ.1901/2559 จำเลยที่ 1 มาสู่ขอบุตรสาวโจทก์ ได้นำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินใส่ชื่อบุตรสาวโจทก์เป็นผู้จะซื้อ ต่อมาไม่มีการซื้อขาย ที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ (ให้บุตรสาวโจทก์) เพื่อตอบแทนการที่บุตรโจทก์ยอมสมรส ไม่ใช่สินสอด (ฎีกานี้ไม่เป็นสินสอด เพราะให้แก่ตัวหญิง ไม่ได้ให้แก่บิดามารดาหญิง ถ้ามองอีกมุม การให้แก่ตัวหญิง เป็นของหมั้นได้ ฎ.3364/2537)
-การส่งมอบ การให้ไว้ด้วยการส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์จากของหมั้น คือ ไม่จำเป็นต้องส่งมอบให้ในขณะตกลงกัน แต่เมื่อตกลงกันแล้ว ก็บังคับได้
-อาจให้ก่อนหรือหลังสมรสก็ได้ ฎ.878/2518 
-ทำสัญญากู้ให้ไว้
-ข้อตกลงเรื่องสินสอดใช้ได้ไม่ว่าผู้รับหมั้นจะบรรลุนิติภาวะแล้วหรือไม่ เช่น ขณะตกลงผู้รับหมั้นยังเป็นผู้เยาว์ ต่อมาก่อนสมรสผู้รับหมั้นบรรลุนิติภาวะแล้วก็เรียกได้ (ฎ.2357/2518)
-เมื่อมีข้อตกลงให้สินสอด ต่อมามีการอยู่กินกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายมิได้จดทะเบียนสมรสเพราะความผิดของชาย บิดามารดาหญิงเรียกสินสอดตามข้อตกลงได้ (ฎ.6385/2551)
-ขณะตกลง ผู้รับหมั้นอายุไม่ครบ 18 ปี และประสงค์จะให้มีการสมรสก่อนอายุครบ 18 ปี (โดยไม่มีการหมั้นหรือมีการหมั้น) ทรัพย์ที่ให้ไม่มีฐานะเป็นสินสอด เพราะการหมั้นเป็นโมฆะ ม.1435 ข้อตกลงเรื่องสินสอดก็เป็นโมฆะเช่นเดียวกัน แต่ผู้หมั้นเรียกคืนไม่ได้ (ฎ.1117/2535) เพราะชำระตามอำเภอใจ
*คดีนี้ฟังว่าประกอบพิธีแต่งงานกันโดยไม่มีเจตนาจะสมรส จึงมิใช่ของหมั้นหรือสินสอด (ดู ฎ.3072/2547)
**อีกความเห็น เห็นว่าเป็นสินสอด แต่เมื่อการสมรสไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะอายุไม่ถึง 18 ปี ถือว่ามีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง ฝ่ายชายเรียกคืนได้ แต่ถ้าฝ่ายชายรู้ก็เรียกคืนไม่ได้ ข้อตกลงสินสอดไม่เป็นโมฆะ เว้นแต่ ฝ่ายผู้หมั้นไม่รู้ถึงอายุที่ต้องห้ามสมรสของผู้รับหมั้น (ฎ.3072/2547) เฉพาะกรณีผู้รับหมั้นยังเป็นผู้เยาว์
*เดิมกฎหมายมิได้ระบุว่าการให้สินสอดต้องมีการหมั้น คือใช้คำว่า "ชายและหญิง" ต่อมาแก้ไขเป็นว่า "ฝ่ายผู้หมั้น" "บิดามารดาฝ่ายผู้รับหมั้น" ทำให้ความหมายสินสอดแคบลง
*การให้ต้องมีเจตนาให้อย่างแท้จริง คือให้กรรมสิทธิ์ตกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง มิใช่เพียงมาแสดงโชว์เป็นพิธี เมื่อมอบคืนไปแล้วก็จะเรียกจากฝ่ายชายไม่ได้ (ฎ.4836/2536 , ฎ.3442/2556)
*ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงตกลงว่าเงินแสนบาท ฝ่ายชายจัดหามาเพื่อแสดงในพิธี เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่สินสอด**
-มอบให้ฝ่ายผู้รับหมั้น กฎหมายกำหนดไว้ 3 คน เท่านั้น ได้แก่ บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม ผู้ปกครองของผู้รับหมั้น แม้บิดามารดาหย่าร้างกันแล้วก็ได้ ถ้าเป็นบุคคลอื่นนอกจากนี้จึงไม่ใช่สินสอด
-ถ้าตกลงให้แก่บุคคลอื่น แม้จะมีฐานะเช่นบิดามารดาโดยเป็นผู้ปกครองตามความเป็นจริง บุคคลดังกล่าวไม่มีสิทธิเรียกร้องสินสอด (ฎ.763/2517)
-กรณีบิดานั้น ต้องชอบด้วยกฎหมาย
-การตกลงให้เปลี่ยนแปลงจำนวนเงินสินสอดจาก 5,000 บาท เป็น 3,000 บาท โดยมารดาไม่รู้เห็นด้วย ไม่ผูกพันมารดา มารดาเรียกได้เต็ม 5,000 บาท และถือว่าที่ได้ชำระให้บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 3,000 บาทแล้ว เป็นการชำระบางส่วนไม่ได้ (ฎ.2357/2518)
-การให้สินสอดเพื่อตอบแทนการที่ผู้รับหมั้นยอมสมรส ไม่ใช่เรื่องที่บิดามารดายินยอมให้สมรส เพราะในกรณีที่ผู้รับหมั้นบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ไม่ต้องได้รับการยินยอมตามกฎหมาย
**ถ้าผู้รับหมั้นไม่อยู่ในฐานะที่จะสมรสได้ เพราะอายุไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ การที่ฝ่ายผู้หมั้นมอบเงินสดและสร้อยทองคำแก่ฝ่ายผู้รับหมั้น เพื่อยินยอมทำการสมรสกันตามประเพณีและอยู่กินด้วยกัน ทรัพย์สินดังกล่าวไม่ใช่สินสอด แต่เมื่อให้แล้วเรียกคืนไม่ได้ (ฎ.3133/2530)
-ถ้าเจตนาจะสมรส หลังอายุครบ 18 ปี เป็นสินสอดได้ แต่ถ้าเจตนาจะสมรส ก่อนครบ 18 ปี (ดู ม.1448 , ม.1503 , ม.1504)
-ต้องมีเจตนาจะให้เพื่อจดทะเบียนสมรส มิใช่ตอบแทนการอยู่กินฉันคู่สมรสตามประเพณีโดยมิได้มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย (ฎ.3557/2524 , ฎ.1117/2535)
-ให้เงินแก่มารดาหญิง เพื่อขอขมาเนื่องจากพาหญิงหนีไปอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้สู่ขอตามประเพณี และชายหญิงยังอยู่กินด้วยกันไม่มีเจตนาจะสมรส (ฎ.125/2518) เหล่านี้ไม่ใช่สินสอด
*ข้อสังเกต
1) แม้มิใช่สินสอด แต่ฝ่ายชายให้แล้วก็เรียกคืนไม่ได้ ถ้าต่อมาชายหญิงอยู่กินกันฉันสามีภริยา (ฎ.125/2517) แม้ไม่ได้ตกลงว่าอยู่กินด้วยกัน ก็เรียกคืนไม่ได้ (ฎ.7031/2549)
2) ทำสัญญากู้เพื่อมอบเป็นการตอบแทนการแต่งงานอยู่กินกันตามประเพณี แม้มิใช่สินสอด แต่เมื่อแต่งงานอยู่กินกันแล้ว บิดามารดาหญิงฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ได้ (ฎ.2237/2519) (ไม่ใช่ฟ้องบังคับตามสินสอด เป็นการบังคับตามข้อตกลงในสัญญา)
-ในกรณีเช่นนี้ บิดามารดาหญิงอาจโอนสิทธิเรียกร้องให้หญิงก็ได้ โดยวิธีแปลงหนี้ (ฎ.878/2518) แต่หากต่อมาสมรสกัน หญิงจะฟ้องชายก็อยู่ภายใต้บังคับ ม.1487 คือ จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินของอีกฝ่ายมิได้
3) ชายตกลงยกที่ดินให้หญิง โดยทำบันทึกไว้ด้านหลังทะเบียนสมรส แม้มิใช่สินสอด แต่บันทึกดังกล่าวแสดงว่า ชายให้เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส จึงเป็นบุคคลสิทธิ์ ใช้บังคับระหว่างคู่สัญญาได้ หญิงฟ้องบังคับให้สชายโอนที่ดินให้ได้ (ฎ.3442/2526)

2. *ในกรณีที่ไม่มีการสมรส
-ฎ.878/2518 ซึ่งเป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างละเลยไม่ไปจดทะเบียนสมรสกัน ถือว่าฝ่ายนั้นผิดสัญญาฝ่ายเดียวไม่ได้ จึงเรียกสินสอดคืนไม่ได้ (ฎ.7567/2540)
-ฝ่ายชายตกลงจะให้สินสอดแก่มารดาหญิง แต่ต่อมาไม่มีการสมรสเพราะฝ่ายชายผิดสัญญา มารดาหญิงมีสิทธิเรียกสินสอดจากฝ่ายชายตามข้อตกลงได้ (ฎ.6385/2551 , ฎ.13672/2557)

3. *ข้อยกเว้น ให้ผู้หมั้นเรียกคืนได้ มี 2 กรณี
1) ไม่มีการสมรสโดยเหตุสำคัญอันเกิดแก่ผู้รับหมั้น ทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรสมรส (เหตุสำคัญ มีผลกระทบกระเทือนต่อชีวิตสมรส) เหตุดังกล่าวอาจเกิดจาก 
  1.1) การกระทำของผู้รับหมั้นเอง เช่น ไม่ยอมสมรสโดยไม่มีเหตุอันสมควร , ไปจดทะเบียนสมรสกับผู้อื่น , สำส่อนจนเป็นโรคเอดส์ , ทำผิดอาญาจนต้องโทษจำคุก
  1.2) เกิดแก่ผู้รับหมั้นเอง เช่น เป็นหมัน เป็นโรคร้ายตามธรรมชาติ
  1.3) การกระทำของบุคคลอื่น หรือพฤติกรรมภายนอก เช่น เกิดอุบัติเหตุทำให้พิการ
2) ไม่มีการสมรสโดยมีพฤติการณ์ที่ฝ่ายผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบ ทำให้ฝ่ายผู้หมั้นไม่อาจสมรส 
-แต่ถ้าฝ่ายผู้หมั้นเป็นฝ่ายผิด ไม่ใส่ใจไปจดทะเบียนสมรส ฝ่ายผู้หมั้นเรียกสินสอดคืนไม่ได้ (ฎ.172/2538)
-กรณีนี้ กฎหมายใช้คำว่า "ฝ่ายผู้รับหมั้น" จึงครอบคลุมมากกว่ากรณีแรก เช่น บิดามารดาไม่ยอมให้ผู้รับหมั้นสมรส หรือผู้รับหมั้นทำให้ผู้หมั้นพิการอยู่ในสภาพที่ไม่อาจสมรสกับผู้รับหมั้นได้ 
-ถ้าผู้รับหมั้นทำให้ผู้หมั้นตาย จะเรียกสินสอดคืนได้หรือไม่ (ดู ม.1441)
-กรณีที่มีการสมรสแล้ว แม้เป็นเพราะถูกข่มขู่ อันเป็นเหตุให้เพิกถอนการสมรส ผู้หมั้นเรียกสินสอดคืนไม่ได้ และไม่ถือว่าผู้รับหมั้นผิดสัญญาหมั้น (ฎ.83/2542)

*สรุปการเรียกคืนสินสอด มีได้เฉพาะกรณีไม่มีการสมรสเท่านั้น โดยต้องมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
1) มีเหตุสำคัญเกิดแก่ฝ่ายผู้รับหมั้น ทำให้ผู้หมั้นไม่ควรสมรส
2) มีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบ ทำให้ผู้หมั้นไม่อาจสมรสกับผู้รับหมั้นได้
-อายุความเรียกคืน 10 ปี ตาม ม.193/30
-วิธีการเรียกคืน ใช้หลักลาภมิควรได้ ม.1437 วรรคท้าย

4. เงื่อนไขการหมั้น
-อายุ 18 ปีบริบูรณ์ ม.1435 ใช้บังคับทั้งสองฝ่าย
-ม.1435 ดูเรื่องอายุ ไม่ดูว่าบรรลุนิติภาวะหรือไม่ ถ้าศาลอนุญาตให้สมรสก่อนอายุ 18 ปี ต่อมาการสมรสสิ้นสุดลงโดยยังมีอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ (แม้บรรลุนิติภาวะตาม ม.20) จะมาทำการหมั้นไม่ได้ ต้องห้าม (ดู ม.1448)
-ฝ่าฝืนเป็นโมฆะ แม้ต่อมามีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ก็ไม่ทำให้การหมั้นกลับมามีผลสมบูรณ์
-บุคคลผู้ทำการหมั้นจะร้องขอต่อศาลให้อนุญาตทำการหมั้นไม่ได้ ต่างจาก ม.1448 อย่างไรก็ดี ทรัพย์สินที่ให้ย่อมเรียกคืนได้ตาม ม.172 มิใช่ ม.1437 วรรคท้าย (ฎ.3072/2547 ป) ซึ่งให้นำหลักการคืนลาภมิควรได้มาใช้บังคับ เมื่อไม่รู้ว่ามีอายุไม่ครบ 18 ปี จึงมิใช่การชำระหนี้ตามอำเภอใจ ม.407 ข้อตกลงคืนสินสอดและของหมั้น จึงใช้บังคับได้

 5. ความยินยอมในกรณีที่เป็นผู้เยาว์ ม.1436
-ไม่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้เยาว์ ก็ต้องได้รับความยินยอม
-กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบของความยินยอมอย่างเช่นการให้ความยินยอมในการสมรส ม.1455 จึงให้ความยินยอมด้วยวาจา อากัปกิริยา การเป็นสักขีพยานก็ได้
-บุคคลผู้ให้ความยินยอมในการหมั้นกับการสมรส อาจเป็นคนละคนกัน เช่น บิดามารดาให้ความยินยอมในการหมั้น ต่อมามีผู้อื่นรับผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม ผู้มีอำนาจให้ความยินยอมในการสมรสจึงตกแก่ผู้รับบุตรบุญธรรม
-การให้ความยินยอมในการหมั้น ไม่ผูกพันว่าจะต้องให้ความยินยอมในการสมรส แต่อาจมีผลเป็นการผิดสัญญาหมั้น
-กรณีมีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่ให้ความยินยอมในการสมรส จะถือว่าผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ เช่น ผู้หมั้นอีกฝ่ายประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
-การให้ความยินยอมเพราะเหตุถูกข่มขู่ ฉ้อฉล นับว่าเป็นเหตุไม่ให้ความยินยอมในการสมรสได้ ไม่ถือว่าความยินยอมนั้นเป็นโมฆียะ เพราะการให้ความยินยอมต้องกระทำด้วยความสมัครใจ

6. บุคคลผู้ให้ความยินยอม มี 4 กรณี
1) บิดามารดา
2) บิดา หรือมารดา ในกรณีที่มารดาหรือบิดา
-ตายตามธรรมชาติ มิใช่สาบสูญ ซึ่งจะเข้า ม.1566(2)
-ถูกถอดถอนอำนาจปกครอง ตาม ม.1582 , ม.1566(1)-(6) , หย่า ม.1520 (ดู ฎ.2563/2544)
-ไม่อยู่ในสภาพที่อาจให้ความยินยอม เช่น วิกลจริต แต่ไม่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือไม่ถูกเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
-ไม่อยู่ในฐานะที่อาจให้ความยินยอม เช่น เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีข้อตกลงตาม ม.1566(6)
-พฤติการณ์ที่ผู้เยาว์ไม่อาจขอความยินยอมได้ เช่น เด็กถูกส่งไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กตั้งแต่เด็ก จึงไม่ทราบว่าบิดามารดาคือใคร บิดาออกเดินเรือแล้วถูกจับในต่างประเทศ
*ข้อสังเกต บิดามารดาแยกกันอยู่ แต่ไม่ได้หย่า ก็ต้องได้รับความยินยอมทั้งคู่
3) ผู้รับบุตรบุญธรรม ม.1598/28 บิดามารดาหมดอำนาจปกครอง และบุตรบุญธรรมมีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม
-ม.1598/37 ถ้าเลิกรับบุตรบุญธรรมแล้ว บุตรบุญธรรมยังไม่บรรลุนิติภาวะ ให้บิดามารดากลับมามีอำนาจปกครองนับแต่เวลาจดทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม (ม.1598/37 ประกอบ ม.1598/31) หรือนับแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด (ม.1598/37 ประกอบ ม.1598/36 
-ถ้าผู้รับบุตรบุญธรรมตาย ให้มีอำนาจปกครองนับแต่วันที่ผู้รับบุตรบุญธรรมตาย ม.1598/37
4) ผู้ปกครอง หมายถึงผู้ปกครองที่ศาลตั้ง ดู ม.1585 ไม่ใช่ผู้ปกครองตามความเป็นจริง
-กรณีผู้เยาว์ถูกศาลสั่งเป็นคนไร้ความสามารถ ย่อมต้องมีผู้อนุบาล ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ม.28 แต่ผู้อนุบาลจะให้ความยินยอมไม่ได้ เพราะผู้เยาว์ไม่อยู่ในฐานะที่จะทำการหมั้นได้

7. *เปรียบเทียบเงื่อนไขการสมรส ม.1449 น่าจะไม่มีเจตนาหมั้น
1) ผู้ที่ไม่ได้ให้ความยินยอม มีสิทธิบอกล้างหรือให้สัตยาบันได้
2) ความยินยอมไม่มีแบบเหมือนการให้ความยินยอมในการสมรส ดู ม.1455
3) กฎหมายมิได้บัญญัติว่าความยินยอมในการหมั้นถอนได้หรือไม่ได้ 
แต่อาจารย์เห็นว่าไม่จำเป็นต้องบัญญัติ เพราะต้องไปให้ความยินยอมในการสมรสอีกครั้ง หรือหากถอนความยินยอมเนื่องจากบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ไม่มีผลให้ความยินยอมนั้นไม่บริบูรณ์ **แต่ถ้าไม่ให้ความยินยอมในการสมรสขณะที่คู่หมั้นเป็นผู้เยาว์ ก็เป็นการผิดสัญญาหมั้น
-ถ้าผู้มีอำนาจให้ความยินยอม ไม่ให้ความยินยอมหรือไม่อยู่ในสภาพให้ความยินยอม หรือโดยพฤติการณ์ผู้เยาว์ไม่อาจขอความยินยอมได้ เช่น มีบิดาคนเดียว , ผู้รับบุตรบุญธรรม เป็นต้น จะใช้วิธีการร้องขอต่อศาลเพื่ออนุญาตให้หมั้นโดยเทียบเคียงม.1456 ไม่ได้

8. ระยะการบอกล้าง บรรพ 5 มิได้กำหนดไว้อย่างเช่นการสมรสเป็นโมฆียะ ตาม ม.1510 วรรคสอง
-มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์
-หญิงมีครรภ์ จึงน่าจะนำ ม.181 มาใช้บังคับโดยอนุโลม เมื่อพ้นเวลา 1 ปี นับแต่อาจให้สัตยาบัน , 10 ปี นับแต่หมั้น

9. ผลของการบอกล้าง
ม.176 ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก และให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม จึงต้องคืนของหมั้น 
-กรณีนี้ไม่อยู่ในบังคับ ม.1447/2 จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี นับแต่วันบอกล้างตาม ม.176 วรรคท้าย

ครั้งหน้าอาจารย์จะบรรยายเรื่องผลของการหมั้น

***จบการบรรยาย***

ความคิดเห็น

10 บทความยอดนิยมประจำสัปดาห์

แนวข้อสอบ พนักงานราชการ (ข้อ 1 - 10)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 (55 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (30 ข้อ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (ชุดที่ 1)

แนวข้อสอบ ระเบียบฯ สารบรรณ (ชุดที่ 3)

สาระสำคัญ พ.ร.บ.สถิติ พ.ศ. 2550 (ฉบับเตรียมสอบ)

สาระสำคัญ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 (ฉบับเตรียมสอบ)

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

แนวข้อสอบ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546

แนวข้อสอบ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (44 ข้อ)