สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายครอบครัว (ครั้งที่ 2)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายครอบครัว (ครั้งที่ 2)
อาจารย์ชาติชาย อัครวิบูลย์
วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2568
**********
1. วันนี้เริ่มที่เรื่องสินสอด ม.1437 วรรคสาม สินสอด เป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายผู้หมั้นให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองฝ่ายผู้รับหมั้น แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่ผู้รับหมั้นยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ผู้รับหมั้นหรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบ ทําให้ผู้หมั้นไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับผู้รับหมั้นนั้น ฝ่ายผู้หมั้นเรียกสินสอดคืนได้
-ชายกับชาย ก็สามารถให้สินสอดกันได้
-หญิงกับหญิง ก็สามารถให้สินสอดกันได้
-หญิงจะให้สินสอดชายก็เป็นได้ อาจารย์เห็นว่าเพราะกฎหมายใหม่เป็นเรื่องความเสมอภาค
-สินสอด ต้องเป็นทรัพย์สิน อาจเป็นสิทธิเรียกร้องก็ได้ เช่น นำเช็คที่ผู้อื่นสั่งจ่ายสลักหลังให้ แต่ข้อตกลงว่าจะยกบุตรคนเล็กให้เป็นบุตรบุญธรรมของอีกฝ่ายทำไม่ได้
-ฎ.1901/2559 จำเลยที่ 1 มาสู่ขอบุตรสาวโจทก์ ได้นำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินใส่ชื่อบุตรสาวโจทก์เป็นผู้จะซื้อ ต่อมาไม่มีการซื้อขาย ที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ (ให้บุตรสาวโจทก์) เพื่อตอบแทนการที่บุตรโจทก์ยอมสมรส ไม่ใช่สินสอด (ฎีกานี้ไม่เป็นสินสอด เพราะให้แก่ตัวหญิง ไม่ได้ให้แก่บิดามารดาหญิง ถ้ามองอีกมุม การให้แก่ตัวหญิง เป็นของหมั้นได้ ฎ.3364/2537)
-การส่งมอบ การให้ไว้ด้วยการส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์จากของหมั้น คือ ไม่จำเป็นต้องส่งมอบให้ในขณะตกลงกัน แต่เมื่อตกลงกันแล้ว ก็บังคับได้
-อาจให้ก่อนหรือหลังสมรสก็ได้ ฎ.878/2518
-ทำสัญญากู้ให้ไว้
-ข้อตกลงเรื่องสินสอดใช้ได้ไม่ว่าผู้รับหมั้นจะบรรลุนิติภาวะแล้วหรือไม่ เช่น ขณะตกลงผู้รับหมั้นยังเป็นผู้เยาว์ ต่อมาก่อนสมรสผู้รับหมั้นบรรลุนิติภาวะแล้วก็เรียกได้ (ฎ.2357/2518)
-เมื่อมีข้อตกลงให้สินสอด ต่อมามีการอยู่กินกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายมิได้จดทะเบียนสมรสเพราะความผิดของชาย บิดามารดาหญิงเรียกสินสอดตามข้อตกลงได้ (ฎ.6385/2551)
-ขณะตกลง ผู้รับหมั้นอายุไม่ครบ 18 ปี และประสงค์จะให้มีการสมรสก่อนอายุครบ 18 ปี (โดยไม่มีการหมั้นหรือมีการหมั้น) ทรัพย์ที่ให้ไม่มีฐานะเป็นสินสอด เพราะการหมั้นเป็นโมฆะ ม.1435 ข้อตกลงเรื่องสินสอดก็เป็นโมฆะเช่นเดียวกัน แต่ผู้หมั้นเรียกคืนไม่ได้ (ฎ.1117/2535) เพราะชำระตามอำเภอใจ
*คดีนี้ฟังว่าประกอบพิธีแต่งงานกันโดยไม่มีเจตนาจะสมรส จึงมิใช่ของหมั้นหรือสินสอด (ดู ฎ.3072/2547)
**อีกความเห็น เห็นว่าเป็นสินสอด แต่เมื่อการสมรสไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะอายุไม่ถึง 18 ปี ถือว่ามีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง ฝ่ายชายเรียกคืนได้ แต่ถ้าฝ่ายชายรู้ก็เรียกคืนไม่ได้ ข้อตกลงสินสอดไม่เป็นโมฆะ เว้นแต่ ฝ่ายผู้หมั้นไม่รู้ถึงอายุที่ต้องห้ามสมรสของผู้รับหมั้น (ฎ.3072/2547) เฉพาะกรณีผู้รับหมั้นยังเป็นผู้เยาว์
*เดิมกฎหมายมิได้ระบุว่าการให้สินสอดต้องมีการหมั้น คือใช้คำว่า "ชายและหญิง" ต่อมาแก้ไขเป็นว่า "ฝ่ายผู้หมั้น" "บิดามารดาฝ่ายผู้รับหมั้น" ทำให้ความหมายสินสอดแคบลง
*การให้ต้องมีเจตนาให้อย่างแท้จริง คือให้กรรมสิทธิ์ตกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง มิใช่เพียงมาแสดงโชว์เป็นพิธี เมื่อมอบคืนไปแล้วก็จะเรียกจากฝ่ายชายไม่ได้ (ฎ.4836/2536 , ฎ.3442/2556)
*ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงตกลงว่าเงินแสนบาท ฝ่ายชายจัดหามาเพื่อแสดงในพิธี เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่สินสอด**
-มอบให้ฝ่ายผู้รับหมั้น กฎหมายกำหนดไว้ 3 คน เท่านั้น ได้แก่ บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม ผู้ปกครองของผู้รับหมั้น แม้บิดามารดาหย่าร้างกันแล้วก็ได้ ถ้าเป็นบุคคลอื่นนอกจากนี้จึงไม่ใช่สินสอด
-ถ้าตกลงให้แก่บุคคลอื่น แม้จะมีฐานะเช่นบิดามารดาโดยเป็นผู้ปกครองตามความเป็นจริง บุคคลดังกล่าวไม่มีสิทธิเรียกร้องสินสอด (ฎ.763/2517)
-กรณีบิดานั้น ต้องชอบด้วยกฎหมาย
-การตกลงให้เปลี่ยนแปลงจำนวนเงินสินสอดจาก 5,000 บาท เป็น 3,000 บาท โดยมารดาไม่รู้เห็นด้วย ไม่ผูกพันมารดา มารดาเรียกได้เต็ม 5,000 บาท และถือว่าที่ได้ชำระให้บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 3,000 บาทแล้ว เป็นการชำระบางส่วนไม่ได้ (ฎ.2357/2518)
-การให้สินสอดเพื่อตอบแทนการที่ผู้รับหมั้นยอมสมรส ไม่ใช่เรื่องที่บิดามารดายินยอมให้สมรส เพราะในกรณีที่ผู้รับหมั้นบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ไม่ต้องได้รับการยินยอมตามกฎหมาย
**ถ้าผู้รับหมั้นไม่อยู่ในฐานะที่จะสมรสได้ เพราะอายุไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ การที่ฝ่ายผู้หมั้นมอบเงินสดและสร้อยทองคำแก่ฝ่ายผู้รับหมั้น เพื่อยินยอมทำการสมรสกันตามประเพณีและอยู่กินด้วยกัน ทรัพย์สินดังกล่าวไม่ใช่สินสอด แต่เมื่อให้แล้วเรียกคืนไม่ได้ (ฎ.3133/2530)
-ถ้าเจตนาจะสมรส หลังอายุครบ 18 ปี เป็นสินสอดได้ แต่ถ้าเจตนาจะสมรส ก่อนครบ 18 ปี (ดู ม.1448 , ม.1503 , ม.1504)
-ต้องมีเจตนาจะให้เพื่อจดทะเบียนสมรส มิใช่ตอบแทนการอยู่กินฉันคู่สมรสตามประเพณีโดยมิได้มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย (ฎ.3557/2524 , ฎ.1117/2535)
-ให้เงินแก่มารดาหญิง เพื่อขอขมาเนื่องจากพาหญิงหนีไปอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้สู่ขอตามประเพณี และชายหญิงยังอยู่กินด้วยกันไม่มีเจตนาจะสมรส (ฎ.125/2518) เหล่านี้ไม่ใช่สินสอด
*ข้อสังเกต
1) แม้มิใช่สินสอด แต่ฝ่ายชายให้แล้วก็เรียกคืนไม่ได้ ถ้าต่อมาชายหญิงอยู่กินกันฉันสามีภริยา (ฎ.125/2517) แม้ไม่ได้ตกลงว่าอยู่กินด้วยกัน ก็เรียกคืนไม่ได้ (ฎ.7031/2549)
2) ทำสัญญากู้เพื่อมอบเป็นการตอบแทนการแต่งงานอยู่กินกันตามประเพณี แม้มิใช่สินสอด แต่เมื่อแต่งงานอยู่กินกันแล้ว บิดามารดาหญิงฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ได้ (ฎ.2237/2519) (ไม่ใช่ฟ้องบังคับตามสินสอด เป็นการบังคับตามข้อตกลงในสัญญา)
-ในกรณีเช่นนี้ บิดามารดาหญิงอาจโอนสิทธิเรียกร้องให้หญิงก็ได้ โดยวิธีแปลงหนี้ (ฎ.878/2518) แต่หากต่อมาสมรสกัน หญิงจะฟ้องชายก็อยู่ภายใต้บังคับ ม.1487 คือ จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินของอีกฝ่ายมิได้
3) ชายตกลงยกที่ดินให้หญิง โดยทำบันทึกไว้ด้านหลังทะเบียนสมรส แม้มิใช่สินสอด แต่บันทึกดังกล่าวแสดงว่า ชายให้เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส จึงเป็นบุคคลสิทธิ์ ใช้บังคับระหว่างคู่สัญญาได้ หญิงฟ้องบังคับให้สชายโอนที่ดินให้ได้ (ฎ.3442/2526)
2. *ในกรณีที่ไม่มีการสมรส
-ฎ.878/2518 ซึ่งเป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างละเลยไม่ไปจดทะเบียนสมรสกัน ถือว่าฝ่ายนั้นผิดสัญญาฝ่ายเดียวไม่ได้ จึงเรียกสินสอดคืนไม่ได้ (ฎ.7567/2540)
-ฝ่ายชายตกลงจะให้สินสอดแก่มารดาหญิง แต่ต่อมาไม่มีการสมรสเพราะฝ่ายชายผิดสัญญา มารดาหญิงมีสิทธิเรียกสินสอดจากฝ่ายชายตามข้อตกลงได้ (ฎ.6385/2551 , ฎ.13672/2557)
3. *ข้อยกเว้น ให้ผู้หมั้นเรียกคืนได้ มี 2 กรณี
1) ไม่มีการสมรสโดยเหตุสำคัญอันเกิดแก่ผู้รับหมั้น ทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรสมรส (เหตุสำคัญ มีผลกระทบกระเทือนต่อชีวิตสมรส) เหตุดังกล่าวอาจเกิดจาก
1.1) การกระทำของผู้รับหมั้นเอง เช่น ไม่ยอมสมรสโดยไม่มีเหตุอันสมควร , ไปจดทะเบียนสมรสกับผู้อื่น , สำส่อนจนเป็นโรคเอดส์ , ทำผิดอาญาจนต้องโทษจำคุก
1.2) เกิดแก่ผู้รับหมั้นเอง เช่น เป็นหมัน เป็นโรคร้ายตามธรรมชาติ
1.3) การกระทำของบุคคลอื่น หรือพฤติกรรมภายนอก เช่น เกิดอุบัติเหตุทำให้พิการ
2) ไม่มีการสมรสโดยมีพฤติการณ์ที่ฝ่ายผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบ ทำให้ฝ่ายผู้หมั้นไม่อาจสมรส
-แต่ถ้าฝ่ายผู้หมั้นเป็นฝ่ายผิด ไม่ใส่ใจไปจดทะเบียนสมรส ฝ่ายผู้หมั้นเรียกสินสอดคืนไม่ได้ (ฎ.172/2538)
-กรณีนี้ กฎหมายใช้คำว่า "ฝ่ายผู้รับหมั้น" จึงครอบคลุมมากกว่ากรณีแรก เช่น บิดามารดาไม่ยอมให้ผู้รับหมั้นสมรส หรือผู้รับหมั้นทำให้ผู้หมั้นพิการอยู่ในสภาพที่ไม่อาจสมรสกับผู้รับหมั้นได้
-ถ้าผู้รับหมั้นทำให้ผู้หมั้นตาย จะเรียกสินสอดคืนได้หรือไม่ (ดู ม.1441)
-กรณีที่มีการสมรสแล้ว แม้เป็นเพราะถูกข่มขู่ อันเป็นเหตุให้เพิกถอนการสมรส ผู้หมั้นเรียกสินสอดคืนไม่ได้ และไม่ถือว่าผู้รับหมั้นผิดสัญญาหมั้น (ฎ.83/2542)
*สรุปการเรียกคืนสินสอด มีได้เฉพาะกรณีไม่มีการสมรสเท่านั้น โดยต้องมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
1) มีเหตุสำคัญเกิดแก่ฝ่ายผู้รับหมั้น ทำให้ผู้หมั้นไม่ควรสมรส
2) มีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบ ทำให้ผู้หมั้นไม่อาจสมรสกับผู้รับหมั้นได้
-อายุความเรียกคืน 10 ปี ตาม ม.193/30
-วิธีการเรียกคืน ใช้หลักลาภมิควรได้ ม.1437 วรรคท้าย
4. เงื่อนไขการหมั้น
-อายุ 18 ปีบริบูรณ์ ม.1435 ใช้บังคับทั้งสองฝ่าย
-ม.1435 ดูเรื่องอายุ ไม่ดูว่าบรรลุนิติภาวะหรือไม่ ถ้าศาลอนุญาตให้สมรสก่อนอายุ 18 ปี ต่อมาการสมรสสิ้นสุดลงโดยยังมีอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ (แม้บรรลุนิติภาวะตาม ม.20) จะมาทำการหมั้นไม่ได้ ต้องห้าม (ดู ม.1448)
-ฝ่าฝืนเป็นโมฆะ แม้ต่อมามีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ก็ไม่ทำให้การหมั้นกลับมามีผลสมบูรณ์
-บุคคลผู้ทำการหมั้นจะร้องขอต่อศาลให้อนุญาตทำการหมั้นไม่ได้ ต่างจาก ม.1448 อย่างไรก็ดี ทรัพย์สินที่ให้ย่อมเรียกคืนได้ตาม ม.172 มิใช่ ม.1437 วรรคท้าย (ฎ.3072/2547 ป) ซึ่งให้นำหลักการคืนลาภมิควรได้มาใช้บังคับ เมื่อไม่รู้ว่ามีอายุไม่ครบ 18 ปี จึงมิใช่การชำระหนี้ตามอำเภอใจ ม.407 ข้อตกลงคืนสินสอดและของหมั้น จึงใช้บังคับได้
5. ความยินยอมในกรณีที่เป็นผู้เยาว์ ม.1436
-ไม่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้เยาว์ ก็ต้องได้รับความยินยอม
-กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบของความยินยอมอย่างเช่นการให้ความยินยอมในการสมรส ม.1455 จึงให้ความยินยอมด้วยวาจา อากัปกิริยา การเป็นสักขีพยานก็ได้
-บุคคลผู้ให้ความยินยอมในการหมั้นกับการสมรส อาจเป็นคนละคนกัน เช่น บิดามารดาให้ความยินยอมในการหมั้น ต่อมามีผู้อื่นรับผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม ผู้มีอำนาจให้ความยินยอมในการสมรสจึงตกแก่ผู้รับบุตรบุญธรรม
-การให้ความยินยอมในการหมั้น ไม่ผูกพันว่าจะต้องให้ความยินยอมในการสมรส แต่อาจมีผลเป็นการผิดสัญญาหมั้น
-กรณีมีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่ให้ความยินยอมในการสมรส จะถือว่าผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ เช่น ผู้หมั้นอีกฝ่ายประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
-การให้ความยินยอมเพราะเหตุถูกข่มขู่ ฉ้อฉล นับว่าเป็นเหตุไม่ให้ความยินยอมในการสมรสได้ ไม่ถือว่าความยินยอมนั้นเป็นโมฆียะ เพราะการให้ความยินยอมต้องกระทำด้วยความสมัครใจ
6. บุคคลผู้ให้ความยินยอม มี 4 กรณี
1) บิดามารดา
2) บิดา หรือมารดา ในกรณีที่มารดาหรือบิดา
-ตายตามธรรมชาติ มิใช่สาบสูญ ซึ่งจะเข้า ม.1566(2)
-ถูกถอดถอนอำนาจปกครอง ตาม ม.1582 , ม.1566(1)-(6) , หย่า ม.1520 (ดู ฎ.2563/2544)
-ไม่อยู่ในสภาพที่อาจให้ความยินยอม เช่น วิกลจริต แต่ไม่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือไม่ถูกเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
-ไม่อยู่ในฐานะที่อาจให้ความยินยอม เช่น เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีข้อตกลงตาม ม.1566(6)
-พฤติการณ์ที่ผู้เยาว์ไม่อาจขอความยินยอมได้ เช่น เด็กถูกส่งไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กตั้งแต่เด็ก จึงไม่ทราบว่าบิดามารดาคือใคร บิดาออกเดินเรือแล้วถูกจับในต่างประเทศ
*ข้อสังเกต บิดามารดาแยกกันอยู่ แต่ไม่ได้หย่า ก็ต้องได้รับความยินยอมทั้งคู่
3) ผู้รับบุตรบุญธรรม ม.1598/28 บิดามารดาหมดอำนาจปกครอง และบุตรบุญธรรมมีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม
-ม.1598/37 ถ้าเลิกรับบุตรบุญธรรมแล้ว บุตรบุญธรรมยังไม่บรรลุนิติภาวะ ให้บิดามารดากลับมามีอำนาจปกครองนับแต่เวลาจดทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม (ม.1598/37 ประกอบ ม.1598/31) หรือนับแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด (ม.1598/37 ประกอบ ม.1598/36
-ถ้าผู้รับบุตรบุญธรรมตาย ให้มีอำนาจปกครองนับแต่วันที่ผู้รับบุตรบุญธรรมตาย ม.1598/37
4) ผู้ปกครอง หมายถึงผู้ปกครองที่ศาลตั้ง ดู ม.1585 ไม่ใช่ผู้ปกครองตามความเป็นจริง
-กรณีผู้เยาว์ถูกศาลสั่งเป็นคนไร้ความสามารถ ย่อมต้องมีผู้อนุบาล ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ม.28 แต่ผู้อนุบาลจะให้ความยินยอมไม่ได้ เพราะผู้เยาว์ไม่อยู่ในฐานะที่จะทำการหมั้นได้
7. *เปรียบเทียบเงื่อนไขการสมรส ม.1449 น่าจะไม่มีเจตนาหมั้น
1) ผู้ที่ไม่ได้ให้ความยินยอม มีสิทธิบอกล้างหรือให้สัตยาบันได้
2) ความยินยอมไม่มีแบบเหมือนการให้ความยินยอมในการสมรส ดู ม.1455
3) กฎหมายมิได้บัญญัติว่าความยินยอมในการหมั้นถอนได้หรือไม่ได้
แต่อาจารย์เห็นว่าไม่จำเป็นต้องบัญญัติ เพราะต้องไปให้ความยินยอมในการสมรสอีกครั้ง หรือหากถอนความยินยอมเนื่องจากบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ไม่มีผลให้ความยินยอมนั้นไม่บริบูรณ์ **แต่ถ้าไม่ให้ความยินยอมในการสมรสขณะที่คู่หมั้นเป็นผู้เยาว์ ก็เป็นการผิดสัญญาหมั้น
-ถ้าผู้มีอำนาจให้ความยินยอม ไม่ให้ความยินยอมหรือไม่อยู่ในสภาพให้ความยินยอม หรือโดยพฤติการณ์ผู้เยาว์ไม่อาจขอความยินยอมได้ เช่น มีบิดาคนเดียว , ผู้รับบุตรบุญธรรม เป็นต้น จะใช้วิธีการร้องขอต่อศาลเพื่ออนุญาตให้หมั้นโดยเทียบเคียงม.1456 ไม่ได้
8. ระยะการบอกล้าง บรรพ 5 มิได้กำหนดไว้อย่างเช่นการสมรสเป็นโมฆียะ ตาม ม.1510 วรรคสอง
-มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์
-หญิงมีครรภ์ จึงน่าจะนำ ม.181 มาใช้บังคับโดยอนุโลม เมื่อพ้นเวลา 1 ปี นับแต่อาจให้สัตยาบัน , 10 ปี นับแต่หมั้น
9. ผลของการบอกล้าง
ม.176 ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก และให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม จึงต้องคืนของหมั้น
-กรณีนี้ไม่อยู่ในบังคับ ม.1447/2 จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี นับแต่วันบอกล้างตาม ม.176 วรรคท้าย
ครั้งหน้าอาจารย์จะบรรยายเรื่องผลของการหมั้น
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น