สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายครอบครัว (ครั้งที่ 6)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายครอบครัว (ครั้งที่ 6)
อาจารย์ชาติชาย อัครวิบูลย์
วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน 2568
**********
1. เมื่อสมรสแล้ว ก่อให้เกิดสถานะคู่สมรสที่มีลักษณะพิเศษ
1.1) ตกลงยกเว้นไม่ได้ เช่น ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้การอุปการะเลี้ยงดูเพียงฝ่ายเดียว
-เว้นแต่กฎหมายให้อำนาจ เช่น สมัครใจแยกกันอยู่ตามม.1516(4/2)
-สิทธิในการได้ค่าอุปการะเลี้ยงดู จะสละหรือโอนไม่ได้ ม.1598/41
1.2) ก่อให้เกิดสิทธิในลักษณะเป็นสิทธิเด็ดขาด
-ม.443 วรรคท้าย ค่าขาดไร้อุปการะ
-ม.445 ค่าขาดแรงงาน
1.3) การใช้ชื่อสกุล
-กรณีใช้คำนำหน้านามและชื่อสกุลของหญิงมีสามี พ.ร.บ.ชื่อบุคคล (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2548 ม.12 คู่สมรสมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามที่ตกลงกันหรือต่างฝ่ายต่างใช้ชื่อสกุลเดิมของตน (ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2548) หรือจะตกลงเปลี่ยนแปลงภายหลังก็ได้ , คู่สมรสประสงค์จะกลับไปใช้ชื่อสกุลของคู่สมรสอีกฝ่ายอีกครั้ง จะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสฝ่ายนั้น , ม.13 วรรคหนึ่ง เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยการหย่าหรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน ให้ฝ่ายที่ใช้ชื่อสกุลของอีกฝ่ายหนึ่ง กลับไปใช้ชื่อสกุลเดิมของตน , ม.13 วรรคสอง ถ้าการสมรสสิ้นสุดลงด้วยความตาย ให้ฝ่ายซึ่งยังมีชีวิตอยู่และใช้ชื่อสกุลของอีกฝ่าย มีสิทธิใช้ชื่อสกุลนั้นต่อไปได้ แต่เมื่อจะสมรสใหม่ให้กลับไปใช้ชื่อสกุลเดิมของตน
1.4) การใช้คำนำหน้านามหญิง
-อายุเกิน 15 ปียังไม่ได้จดทะเบียนสมรส ให้เปลี่ยนจากคำว่าเด็กหญิงเป็นนางสาวตามพ.ร.บ.คำนำหน้านามหญิง พ.ศ.2551 ม.4 , หญิงที่สมรสแล้วจะใช้คำนำหน้านามว่านางหรือนางสาวก็ได้โดยแจ้งต่อนายทะเบียน
1.5) สัญชาติ
-การสมรสไม่ทำให้สัญชาติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
-การที่หญิงซึ่งเป็นคนต่างด้าวได้สมรสกับชายสัญชาติไทย หากประสงค์จะได้สัญชาติไทย ก็อาจกระทำได้ตามพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 ม.9
-กรณีชายต่างชาติสมรสกับหญิงไทย อนุญาตหรือไม่ เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
-เมื่อได้สัญชาติไทยแล้ว แม้ต่อมาขาดจากการสมรส ไม่ว่าหย่าหรือตาย ก็ยังคงมีสัญชาติไทยเช่นเดิม เว้นแต่จะสละสัญชาติไทย กลับไปถือสัญชาติเดิม
1.6) ภูมิลำเนา
-ม.43 ให้ถือว่า ถิ่นที่อยู่ที่คู่สมรสอยู่กินด้วยกันฉันคู่สมรสเป็นภูมิลำเนาของคู่สมรสนั้น เว้นแต่คู่สมรสได้แสดงเจตนาให้ปรากฏว่ามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน
2. ความสัมพันธ์ส่วนตัว ต้องอยู่กินด้วยกันฉันคู่สมรส ม.1461 วรรคหนึ่ง "คู่สมรสต้องอยู่กินด้วยกันฉันคู่สมรส"
-อยู่กินด้วยกันตามหลักธรรมชาติและกฎหมาย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซื่อสัตย์ต่อกันและกัน
-การร่วมประเวณี หรือมีความสัมพันธ์เพื่อสนองความใคร่ระหว่างกัน ม.1516 (เหตุฟ้องหย่า)
-ไม่ทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่ง , จงใจทิ้งร้าง ม.1516(4) ฎ.257/2545 การสมัครใจแยกกันอยู่ไม่เป็นเหตุทิ้งร้าง
-หลักความซื่อสัตย์ ม.1516(1)
-หลักการยกย่องฐานะอีกฝ่ายว่าเป็นคู่สมรส ม.1516(1),(3)
-หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเหตุที่คู่สมรสต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ก็จะเป็นเหตุฟ้องหย่าต่าง ๆ ตามม.1516
3. การช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกัน ม.1461 วรรคสอง "คู่สมรสต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน"
-การช่วยเหลือทั้งกินการงานส่วนตัวและครอบครัว ยากเจ็บป่วยช่วยขับรถไปส่ง ช่วยให้คำปรึกษา แต่ไม่ใช่การก้าวก่ายในงานของอีกฝ่าย เช่น เป็นหลังบ้านตอบรับการติดต่อ กินสินบน
-การก่อหนี้เกี่ยวกับกิจการในครอบครัว ม.1490(1)
-บุคคลภายนอกอาจต้องรับผิดตามม.445 ขาดคนทำการงาน การอุปการะเลี้ยงดู
-ฎ.2854/2561 เงินรายได้ของบริษัทเมื่อมีกำไรก็จะจ่ายให้ฝ่ายชายและหญิง ต่อมาหญิงฟ้องหย่าและเรียกให้จ่ายเงินกำไรนั้นด้วย ศาลวินิจฉัยว่าเงินนั้นมิใช่ค่าอุปการะตามม.1461 จะฟ้องขอให้นำมาแบ่งแก่โจทก์หรือให้ใช้แก่โจทก์มิได้
-ถ้าไม่ช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดู ก็มีสิทธิเรียกให้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูตามม.1598/38 และเป็นเหตุฟ้องหย่าตามม.1516(6)
-ม.1598/41 สิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดู จะสละหรือโอนกันไม่ได้ และไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี
4. การแยกกันอยู่ต่างหากเป็นการชั่วคราว
-กฎหมายอนุญาตให้คู่สมรสมีโอกาสที่จะแยกกันอยู่ต่างหากเป็นการชั่วคราว เพื่อปลดเปลื้องหน้าที่ในการอยู่กินด้วยกันฉันคู่สมรสแต่ละฝ่ายออกไปจากกัน
-การแยกกันอยู่ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ อาจตกลงกันด้วยวาจาก็ได้
-การทำข้อตกลงแยกกันอยู่ต่างหาก ทำให้ต่างฝ่ายต่างหมดหน้าที่ที่จะต้องอยู่กินด้วยกัน แต่สถานะความเป็นคู่สมรสยังคงมีอยู่ แต่ละฝ่ายสมรสใหม่ไม่ได้ แม้จะแยกกันอยู่เป็นเวลาเกิน 1 ปี ก็ไม่ถือว่าเป็นการจงใจละทิ้งร้าง , แต่ถ้าเกิน 3 ปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้องหย่าได้ตามม.1516(4/2) เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันคู่สมรสโดยปกติสุข
-ฎ.780/2502 ตกลงแยกกันอยู่ ฟ้องหย่าไม่ได้
-ฎ.5627/2530 ตกลงแยกกันอยู่ สามีต้องอุปการะเลี้ยงดูภริยา
-กรณีศาลมีคำสั่งอนุญาตให้แยกกันอยู่ต่างหากเป็นการชั่วคราว ม.1462 มี 4 กรณี
--ไม่สามารถอยู่กินด้วยกันฉันคู่สมรสโดยปกติสุข
--การอยู่ร่วมกันจะเป็นอันตรายแก่กายอย่างมากของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
--การอยู่ร่วมกันจะเป็นอันตรายแก่จิตใจอย่างมากของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
--การอยู่ร่วมกันจะเป็นการทำลายความผาสุกอย่างมากของคู่สมรส
-ฎ.5144/2559 ภริยาเจ็บป่วยมะเร็งลำใส้ใหญ่ สามีจึงออกจากบ้านที่อยู่ร่วมกัน มิใช่การสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้ตามปกติสุข เป็นการสมัครใจเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีเหตุฟ้องหย่าตามม.1516(4/2)
-ฎ.369/2509 ทำร้ายซึ่งกันและกัน แต่นาน ๆ ครั้ง ยังไม่อนุญาตให้แยกกันอยู่
5. การเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ของคู่สมรส ม.1463
-คู่สมรสฝ่ายหนึ่งต้องมีหน้าที่ต้องช่วยอุปการะเลี้ยงดูกันตามม.1461 วรรคสอง ฉะนั้น เมื่อจะตั้งผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ ม.1463 จึงกำหนดให้ตั้งคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่แทน
-คู่สมรสที่เป็นผู้อนุบาลย่อมมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ใช้อำนาจปกครอง ทั้งนี้ตามม.1598/15
6. ความสัมพันธ์ในทางทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสนั้น มีในส่วนสัญญา (ม.1465-1469) ทรัพย์สิน (สินส่วนตัว กับ สินสมรส) และหนี้สิน (หนี้ระหว่างคู่สมรสด้วยกัน กับ หนี้ที่คู่สมรสมีต่อบุคคลภายนอก)
7. สัญญาก่อนสมรส ม.1465-1468
-เป็นสัญญาที่คู่สมรสทำไว้ก่อนสมรส เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในทางทรัพย์สินที่บัญญัติไว้ในหมวด 4 ม.1465 วรรคหนึ่ง
-ถ้ามิได้ตกลงกันให้เป็นไปตามกฎหมาย
-ฎ.6711/2537 ตกลงทำสัญญาก่อนสมรสให้ที่ดินบ้านของชายเป็นสินสมรสโดยชอบตามม.1466 เมื่อไม่ขัดกับความสงบตามม.1465 วรรคสอง ภริยามีสิทธิฟ้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวม
-ถ้าตกลงกันในเรื่องทรัพย์สินนอกหมวดนี้ (นอกหมวด 4) ไม่ได้ เช่น เมื่อหย่ากัน ให้ทรัพย์สินทั้งหมดตกแก่หญิง (ฎ.195/2465)
-การตกลงในเรื่องอื่นจะกระทำได้ภายในขอบเขต
--กฎหมายบัญญัติให้ตกลงกันได้ เช่น เรื่องทัณฑ์บน ม.1516(8) (ฎ.309/2483 , 2553/2526)
--ฎ.309/2483 ทำทัณฑ์บนก่อนสมรสว่า ถ้าชายกลับคืนดีภริยาเดิม ยอมสละสิทธิไม่เอาสินสมรส ให้ตกแก่หญิงฝ่ายเดียวใช้ได้
--ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
--การตกลงทำสัญญาก่อนสมรสนอกหมวด 4 โดยหลักถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยฯ
--ตกลงให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว ซึ่ีงจะทำได้เมื่อมีการหย่าตามม.1520 วรรคหนึ่ง
-ข้อจำกัดในการทำสัญญาก่อนสมรส ม.1465 วรรคสอง ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือระบุให้ใช้กฎหมายประเทศอื่นบังคับในเรื่องทรัพย์สิน
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น