สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ กฎหมายหุ้นส่วน บริษัท (ครั้งที่ 2)
สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต 1/78 ภาคค่ำ
กฎหมายหุ้นส่วน บริษัท (ครั้งที่ 2)
อาจารย์วิรัตน์ วิศิษฏ์วงศกร
วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568
**********
1. สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
ม.1012 สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท คือ สัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้ากัน เพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แก่กิจการที่ทำนั้น
*ถ้อยคำตามตัวบท จะเป็นตัววัด เมื่อเจอข้อสอบ การจำตัวบทได้ดีก็ต้องเข้าใจก่อน
2. สัญญาระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
-การแสดงเจตนา ความสามารถ วัตถุประสงค์ของสัญญา เป็นไปตามหลักทั่วไปบรรพ 1 บรรพ 2
-ข้อตกลงจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทไม่มีแบบ
-ฎ.14410/2558 จำเลยร่วมและจำเลยทั้งสอง ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการจำหน่ายสินค้าที่ซื้อจากโจทก์ โดยมีวัตถุประสงค์แบ่งปันผลกำไรระหว่างกัน จึงเข้าลักษณะสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญตาม ม.1012 แล้ว หาจำต้องทำสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญระหว่างจำเลยร่วมกับจำเลยทั้งสองไม่ การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ และเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์ เป็นการดำเนินการในฐานะหุ้นส่วน อันเป็นไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ดังนั้น จำเลยร่วมซึ่งเป็นหุ้นส่วน จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยทั้งสองชำระหนี้คาสินค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์ด้วย ตาม ม.1050
-"บุคคล" ได้ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล หากนิติบุคคลจะมาเข้ากันเป็นห้างหุ้นส่วน ตามระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางฯ พ.ศ.2561 ข้อ 58 ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด จะเป็นหุ้นส่วน (จำกัดหรือไม่จำกัดความรับผิด) ในห้างหุ้นส่วนก็ได้
-บริษัทจำกัด นิติบุคคลต่างประเทศ สามารถทำสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญได้ (ฎ.3848/2531 , 7289/2561)
-ฎ.3848/2531 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทจำกัด กับบริษัทในต่างประเทศอีกสองบริษัท ร่วมกันจดทะเบียนการค้าสำหรับงานก่อสร้างสะพานไว้กับกรมสรรพากรว่า "ส.บริดจ์ จอยเวนเจอร์" เช่นนี้ย่อมเห็นได้ว่ากิจการดังกล่าวก็คือห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งจำเลยที่ 1 กับบริษัท ร่วมกันกระทำในประเทศไทยนั่นเอง ดังนั้นเมื่อรถยนต์บรรทุกของนาย ว. โจทก์ ตกลงไปในหลุมที่ "ส.บริดจ์ จอยเวนเจอร์" ขุดไว้ โดยเกิดขึ้นในกิจการที่เป็นธรรมดาของ "ส.บริดจ์ จอยเวนเจอร์" จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดโดยไม่จำกัดจำนวนในการชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการละเมิดนั้น ตาม ม.1050 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ (โจทก์ฟ้องหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งก็ได้)
-บริษัทมหาชนจำกัด ทำสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนได้หรือไม่? บริษัทจำกัดเข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนได้ แต่บริษัทมหาชนจำกัดกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนมัญ หรือเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด ถ้าฝ่าฝืน ความตกลงนั้นเป็นโมฆะ ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 ม.12
-ฎ.5316/2559 กิจการร่วมค้าระหว่าง บริษัท พ. จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 1 กับบริษัทต่างประเทศอีกสองบริษัท ก็คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ซึ่งร่วมกันกระทำในประเทศไทยนั่นเอง เมื่อพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่กิจการร่วมค้าฯ ทำสัญญากับกรุงเทพมหานคร และยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จนกระทั่งเลิกกิจการ มีการใช้ชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นชื่อกิจการร่วมค้าฯ มาโดยตลอด และเหตุในการประเมินภาษีคดีนี้เนื่องจากกิจการร่วมค้าฯ มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ในช่วงระยะเวลาที่มีการใช้ชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นชื่อกิจการร่วมค้าฯ ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้างให้แก่กรมสรรพากรโจทก์ ในบรรดาหนี้ของกิจการร่วมค้าฯ ตาม ม.1054
*ข้อสังเกต ฎีกานี้เป็นการวินิจฉัยคดีภาษีอากร ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ทำกิจการร่วมค้ากับบุคคลอื่น กิจการร่วมค้าดังกล่าว ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลก็ตาม กิจการร่วมค้าดังกล่าวก็ถือเป็น "หน่วยภาษี" (tax entity) ตามบทนิยามคำว่า "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" ให้ความหมายรวมถึงกิจการร่วมค้าด้วย ตามประมวลรัษฎากร ม.39 กิจการร่วมค้าจึงต้องเสียภาษีและทำบัญชีงบการเงินในนามตนเองตามประมวลรัษฎากร และ พ.ร.บ.บัญชี พ.ศ.2543 แต่ตามกฎหมายหุ้นส่วนบริษัท จำเลยที่ 1 กับบุคคลอื่นคดีนี้รวมกลุ่มแบบคณะบุคคล จำเลยที่ 1 ไม่อาจเข้าร่วมเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญได้ เพราะขัดกับ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 ม.12
-ฎ.7196/2535 เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้จะต้องเป็นบุคคล กลุ่มครูโรงเรียน อ. เจ้าหนี้ จัดตั้งขึ้นโดยให้สมาชิกครูกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเป็นสวัสดิการช่วยเหลือครูภายในกลุ่ม จึงเป็นเพียงคณะบุคคลหรือกลุ่มบุคคล มิใช่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล อีกทั้งไม่ได้ประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำ จึงไม่มีลักษณะเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน แม้กรรมการของกลุ่มครูโรงเรียนอุดร จะเป็นตัวแทนของสมาชิกกลุ่มครูโรงเรียนดังกล่าว และอยู่ในลักษณะเจ้าของรวม แต่เมื่อคำขอรับชำระหนี้ระบุว่าผู้ขอรับชำระหนี้คือ "กลุ่มครูโรงเรียนอุดร โดย ร. ผู้รับมอบอำนาจ" ไม่ใช่กรรมการของกลุ่มครูโรงเรียนดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้
3. ผลของการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ม.1015 กรณี ม.1079 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ให้ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจำกัดจำนวนจนกว่าจะได้จดทะเบียน
4. ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้
-ฎ.3625/2546 ห้างหุ้นส่วนสามัญ อ. เป็นโจทก์ฟ้องนาย ก. โดยโจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตาม ป.พ.พ. และไม่มีกฎหมายใดกำหนดให้โจทก์เป็นนิติบุคคล โจทก์มิใช่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล จึงไม่อาจเข้าเป็นคู่ความในคดีได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นเรื่องอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
5. ความรับผิดในมูลละเมิด
-ฎ.624/2515 นาย ก. จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารไปตามทางการที่จ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดรถเมล์แดง จำเลยที่ 2 เห็นโจทก์ยืนเกาะห้อยโหนบันไดรถ ตัวโจทก์ยื่นออกไปนอกรถ แล้วยังคงขับรถต่อไปโดยไม่จัดการมิให้มีการเกาะห้อยโหนเช่นนั้นเสียก่อน ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดโดยประมาท จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเพียงผู้ถือหุ้นและหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 3 มิใช่นายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1
*เว้นแต่ ปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ผิดนัดชำระหนี้แล้ว ก็ฟ้องจำเลยที่ 3 (หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด) ได้ (ฎ.590/2520) (แต่จะฟ้องหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดไม่ได้ถ้าห้างฯ ยังมิได้เลิกกัน ม.1095 วรรคหนึ่ง เมื่อเรียนถึงจะได้อธิบายต่อไป)
6. เหตุละเมิดเกิดก่อนจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ฟ้องนิติบุคคลได้หรือไม่?
-ฎ.2510/2516 (ประชุมใหญ่) ในขณะที่เกิดเหตุละเมิดขึ้น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ยังมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ตามกฎหมายถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ โจทก์ในฐานะผู้เป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว ย่อมมีอำนาจฟ้องร้องนาย ฉ. จำเลยที่ 2 และนาย ก. จำเลยที่ 3 ให้ร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิด ซึ่งลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำต่อทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนนั้นได้ และอำนาจฟ้องหรือสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อผู้กระทำละเมิดต่อทรัพย์นั้นเป็นบุคคลสิทธิ มิใช่ทรัพยสิทธิที่ติดตามไปกับตัวทรัพย์ เมื่อสิทธิดังกล่าวได้เกิดมีขึ้นแล้ว แม้ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลายซึ่งรวมเข้ากันเป็นห้างหุ้นส่วนนั้นก็ตาม อำนาจฟ้องหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวก็หาโอนไปยังห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ด้วยไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ (แม้จดทะเบียนนิติบุคคลแล้ว สิทธิเรียกร้องที่มีอยู่เดิม ก็ไม่ได้โอนมาเป็นของห้างนิติบุคคล)
7. เมื่อปี 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริษัทจำกัดคนเดียวฯ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการใหม่และ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น เพราะการมีสภาพเป็นนิติบุคคล โดยเจ้าของทุนเป็นบุคคลธรรมดาคนเดียวและเป็นผู้จัดการ ซึ่งรับผิดจำกัดไม่เกินทุนจดทะเบียนบริษัท แต่ปัจจุบันร่างยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ยังไม่มีการประกาศใช้เป็นกฎหมาย
8. บริษัทจำกัด ม.1097 บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปก่อตั้งบริษัท ส่วนบริษัทมหาชนจำกัด พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 ม.16 บุคคลตั้งแต่ 15 คนขึ้นไปก่อตั้งบริษัท
***จบการบรรยาย***
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น